ซินเจนทา ประเทศไทย ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การเกษตรระดับโลก ด้วยการร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (OTOD#2) และกิจกรรม Digital Agriculture Final Pitching Day ที่จัดโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลในภาคการเกษตรจากกลุ่มชุมชนและธุรกิจชุมชนจาก 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมคัดเลือกทีมที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับทุนสนับสนุนต่อยอดธุรกิจ มุ่งลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร สู่เกษตรอัจฉริยะ

นางสาววรรณภร วัฒนาเกษมสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนและบรรษัทสัมพันธ์ บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ซินเจนทาให้ความสำคัญกับการยกระดับภาคเกษตรไทยอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการผลักดันนวัตกรรมให้ถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง ซึ่งกิจกรรม Digital Agriculture Final Pitching Day ภายใต้โครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (One Tambon One Digital: OTOD#2) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ ที่จะสร้างพื้นที่ให้แนวคิดสร้างสรรค์ของชุมชนท้องถิ่นและเทคโนโลยีการเกษตรได้มาบรรจบกัน เราเชื่อว่าการพัฒนาเกษตรอัจฉริยะจะเกิดขึ้นได้จริง หากมีระบบนิเวศที่เกื้อหนุนระหว่างเกษตรกร ผู้พัฒนาเทคโนโลยี หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชนอย่างซินเจนทา ที่พร้อมสนับสนุนทั้งองค์ความรู้ เครื่องมือ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างมีประสิทธิภาพ”

“ซินเจนทาให้ความสำคัญกับเกษตรกรเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมที่เราพัฒนา เราไม่เพียงเน้นการเพิ่มผลผลิต แต่ยังมุ่งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านโซลูชันที่นำไปใช้ได้จริง เช่น การวางแผนเพาะปลูกด้วยข้อมูลเชิงลึก การใช้สารอารักขาพืชอย่างเหมาะสมให้สามารถจัดการกับแมลงที่ดื้อยา และการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ภาคสนาม เพื่อถ่ายทอดความรู้จากผู้เชี่ยวชาญสู่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เรายังสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อยกระดับเกษตรกรให้เป็นผู้ผลิตอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของระบบอาหารโลกในอนาคต เพราะเราเชื่อว่า ความมั่นคงของเกษตรกรในวันนี้ คือรากฐานของความมั่นคงทางอาหารของโลกในวันข้างหน้า” นางสาววรรณภร กล่าว

ที่ผ่านมา ซินเจนทามุ่งส่งเสริมให้เกษตรกรไทยปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำเกษตรอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันภาคการเกษตรของไทยกำลังเข้าสู่รูปแบบ Agriculture 5.0 หรือเกษตรอัจฉริยะที่ผสมผสานระบบอัจฉริยะ AI และหุ่นยนต์ ซินเจนทาจึงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อเกษตรกรในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การใช้แอปพลิเคชัน Cropwise Grower ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนเพาะปลูกอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นหัวใจของการขับเคลื่อน “เกษตรแม่นยำ” และการลดต้นทุนในระยะยาว โดยแอปพลิเคชันนี้รวมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์เกษตรกรไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสภาพอากาศ คำแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดพ่น การแจ้งเตือนปัญหาวัชพืช โรค และแมลงศัตรูพืช เพื่อช่วยให้เกษตรกรวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ซินเจนทายังเดินหน้าโครงการสำคัญ นั่นก็คือ โครงการ “เพาะดี กินดี” ซึ่งช่วยยกระดับมุมมองของเกษตรกรจาก “ผู้ผลิต” สู่ “ผู้ประกอบการเกษตร” ที่สามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้อย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มผลผลิตและยกระดับคุณภาพชีวิตและอาชีพได้อย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า “โครงการ OTOD#2 มุ่งส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะดิจิทัลเพื่อการเกษตร เปิดโอกาสให้ชุมชนและเกษตรกรได้ ‘คิดเอง ทำเป็น ทำได้’ พร้อมยกระดับกระบวนการผลิตตั้งแต่การเพาะปลูก การดูแลรักษา และการจัดการผลผลิต อีกทั้งเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่เกษตรอัจฉริยะในอนาคต ให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ด้วยการประยุกต์ใช้ 3 เทคโนโลยีดิจิทัล ได้แก่ โดรนเพื่อการเกษตร แทรกเตอร์การเกษตรอัจฉริยะ และ IoT ภาคการเกษตรอัจฉริยะ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน dSURE และขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัล ซึ่งโครงการ OTOD#2 เริ่มต้นตั้งแต่การจัดทำสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ใน 3 เทคโนโลยี จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการยกระดับทักษะเข้มข้น (Accelerate) ซึ่ง ดีป้า ได้ลงพื้นที่ 11 จังหวัดทั่วประเทศ และจัดกิจกรรมอบรมข้อมูลเทคโนโลยี จับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และเขียนข้อเสนอโครงการ ต่อด้วยการนำเสนอ (Pitching) ข้อเสนอโครงการที่ผ่านการคัดเลือก (Pre-screen) ต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน 5 จังหวัด 5 ภูมิภาค ก่อนเข้าสู่เวทีตัดสินระดับประเทศ”

สำหรับกิจกรรม Digital Agriculture Final Pitching Day มีการนำเสนอแนวคิดและโครงการจากกลุ่มชุมชนทั่วประเทศกว่า 500 ทีม โดยมีการคัดเลือกผู้ชนะเพื่อรับทุนสนับสนุนและการส่งเสริมต่อยอดทางธุรกิจ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วย
1. ประเภทกลุ่มชุมชนประยุกต์ใช้เทคโนโลยี จำนวน 350 ราย รับทุนการส่งเสริมสนับสนุนสูดสุด 150,000 บาทต่อโครงการ
และ 2. ประเภทพัฒนาธุรกิจชุมชน จำนวน 50 ราย รับทุนการส่งเสริมสนับสนุนสูงสุด 200,000 บาทต่อโครงการ

พร้อมกันนี้ยังมีรางวัลดีเด่นสำหรับสุดยอดโครงการทั้ง 2 ประเภท ซึ่งทีมที่ได้รับรางวัลดีเด่นประเภทกลุ่มชุมชนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคือ วิสาหกิจชุมชนหอมเชียงม่วนภาคเหนือ และทีมที่ได้รับรางวัลดีเด่นประเภทพัฒนาธุรกิจชุมชนคือ นายอรันดร์ จันโท ภายในงานยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยีการเกษตรล้ำสมัย ทั้ง โดรน แทรกเตอร์อัจฉริยะ และ IoT ทางการเกษตร รวมถึงเวทีเสวนาระดมไอเดียจากผู้เชี่ยวชาญในภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรต้นแบบ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดการขับเคลื่อนภาคเกษตรสู่อนาคต

“ความท้าทายของภาคเกษตรในวันนี้ ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยภาคส่วนใดเพียงลำพัง ซินเจนทาเชื่อว่า ‘ความร่วมมือ’ คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐที่วางนโยบาย ภาคเอกชนที่มีนวัตกรรม และประชาชนหรือเกษตรกรที่ลงมือทำจริงในพื้นที่ โดยซินเจนทาเองก็พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ เมื่อเราทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ จะเกิดการเปลี่ยนผ่านภาคเกษตรไทยไปสู่ความยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดเป็นผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ” นางสาววรรณภร กล่าวสรุป