สสส.-มท.-สวร. ขับเคลื่อนโมเดล “CBTx ชุมชนล้อมรักษ์” ถอดบทเรียน 7 อำเภอต้นแบบ สู่การบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดในระดับพื้นที่ ตั้งเป้าขยายผลทุกอำเภอทั่วประเทศ ด้วยพลังชุมชนร่วมฟื้นคืนคนดีสู่สังคม
วันที่ 24 มิ.ย. 2568 ณ ห้องประชุมค็อกพิท โรงแรมอมารี ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย (มท.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ (สวร.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาอำเภอต้นแบบ และกลไกการขับเคลื่อนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการขยายผลชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และถอดบทเรียนจากอำเภอต้นแบบใน 4 ภูมิภาค รวม 7 พื้นที่ ที่ได้นำแนวทาง CBTx ไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้มีปัญหายาเสพติดในชุมชน เพื่อหาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ และสามารถขยายผลสู่ระดับอำเภอ ตำบล และชุมชนทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจัดตั้งกลไกการสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างเป็นระบบ

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวระหว่างการประชุมว่า การขับเคลื่อน CBTx ที่ดำเนินงานอยู่ในหลายอำเภอทั่วประเทศขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นแนวทางการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติดที่สอดคล้องกับชีวิตจริงของประชาชนในแต่ละพื้นที่ และสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนได้อย่างแท้จริง โดยการนำอำเภอต้นแบบที่มีประสบการณ์การดำเนินงาน CBTx มาแลกเปลี่ยนและถอดบทเรียน เพื่อจัดทำแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ ซึ่งจะช่วยให้พื้นที่อื่น ๆ ที่สนใจสามารถเรียนรู้แนวทางที่ชัดเจน เห็นกระบวนการทำงานและตัวอย่างความสำเร็จ เพื่อให้การขยายผลดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเกิดแรงจูงใจให้ชุมชนแสดงความต้องการของตนเองได้ชัดเจน โดยมีหน่วยงานรัฐในระดับพื้นที่ทำหน้าที่สนับสนุนอย่างจริงจัง
นางสาวรุ่งอรุณ เผยว่า จากการติดตามการดำเนินงานในอำเภอต้นแบบ พบว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ มีอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ 1. ชุมชนมีความต้องการและความตระหนักที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหา 2. มีกระบวนการออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และ 3. สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเยาวชน ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของกิจกรรม และไม่รู้สึกห่างไกลจากกระบวนการบำบัด

“CBTx ตอบโจทย์ตรงนี้ เพราะทำให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในชุมชน อยู่ร่วมกันได้ ช่วยเหลือกัน และส่งเสริมให้ผู้เสพสามารถคืนสู่สังคมในฐานะคนดีได้อีกครั้ง ซึ่งอนาคต สสส. มีเป้าหมายในการขยายการดำเนินงานจากระดับอำเภอสู่ระดับจังหวัด โดยวางกลไกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทในการกำกับดูแล เพื่อให้ทุกอำเภอและทุกตำบลสามารถดำเนินการควบคู่กันไป ลดการโยกย้ายปัญหาจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง” นางสาวรุ่งอรุณกล่าว
ด้าน นายเกรียงไกร ทิศรีไชย สาธารณสุขอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า สถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่อำเภอวังเหนือยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้เสพหน้าใหม่ ซึ่งสามารถเข้าถึงยาเสพติดได้ง่าย ด้วยราคาต่ำเพียง 20-50 บาท ทำให้สัดส่วนของผู้มีปัญหาการใช้สารเสพติดยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยในปีงบประมาณ 2567 มีกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงจากการใช้สารเสพติด (SMI-V) เข้ารับการรักษาและส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทาง จำนวน 25 ราย ขณะที่ปีงบประมาณ 2568 แม้จะยังไม่จบปีงบประมาณ ก็พบว่ามีจำนวนสูงถึง 35 ราย เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า “เราจำเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนงานเชิงรุกในชุมชนมากขึ้น”
นายเกรียงไกร ระบุว่า แนวทางการบำบัดในพื้นที่อำเภอวังเหนือ ได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามระดับความรุนแรงเป็น 4 ระดับ ได้แก่ สีเขียว เหลือง ส้ม และแดง โดย กลุ่มสีเขียวและเหลืองที่ไม่มีอาการ จะได้รับการดูแลภายในชุมชน กลุ่มสีส้มที่มีอาการเล็กน้อย จะได้รับการบำบัดในโรงพยาบาลชุมชนและ กลุ่มสีแดงที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะทางจิตเวช จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทาง เช่น โรงพยาบาลลำปาง ธัญญารักษ์เชียงใหม่ หรือสวนปรุง

“เรายึดหลักที่ว่า ‘มังกรพลัดถิ่นจะสู้งูดินในพื้นที่ไม่ได้’ ซึ่งหมายถึงการดูแลและแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ดีที่สุดต้องเริ่มจากชุมชนเอง โดยเฉพาะครอบครัว ชุมชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วย และเปิดโอกาสในการฟื้นตัว จะส่งผลให้การบำบัดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ชุมชนต้องไม่ตีตราผู้เคยใช้ยา เพื่อให้โอกาสในการกลับคืนสู่สังคมได้อย่างแท้จริง” นายเกรียงไกรกล่าว
ขณะที่ นายชินวัต ทองปรีชา นายอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม กล่าวว่า อำเภอท่าอุเทนซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนติดต่อกับ สปป.ลาว ระยะทางราว 47 กิโลเมตร ครอบคลุม 9 ตำบล 111 หมู่บ้าน เป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบางต่อปัญหายาเสพติด ทั้งในแง่ของการลักลอบนำเข้ายาเสพติดและจำนวนผู้เสพในพื้นที่ โดยจากการ Re-X-ray พบกลุ่มผู้เสพในกลุ่มสีเขียวมากกว่า 480 ราย ที่ผ่านมาได้ดำเนินการบำบัดฟื้นฟูด้วยแนวทางชุมชนล้อมรักษ์ โดยอาศัยพหุภาคีในพื้นที่ที่เรียกว่า ‘ห้าเสือ’ ได้แก่ ปกครอง สาธารณสุข ตำรวจ ผู้นำท้องถิ่น และภาคประชาชน ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในส่วนของการป้องกันและปราบปราม ทางอำเภอได้ดำเนินการตามนโยบาย “Seal – Stop – Safe” ของรัฐบาล ได้แก่ Seal: การลาดตระเวนและสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดน Stop: การบังคับใช้กฎหมายและการจับกุมเครือข่ายค้ายา Safe: การฟื้นฟูผู้เสพให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี

“การประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกันครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่อำเภอในแต่ละภูมิภาคจะได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และรับองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะนำกลับไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาพื้นที่ของตนเองให้สามารถควบคุมปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาล และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการวางรากฐานระบบบำบัดและฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง เพื่อคืนคนดีสู่ครอบครัวและสังคมอย่างแท้จริง” นายชินวัต กล่าว