เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลุ่มครอบครัวล้อมวงเปิดใจ “ครอบครัวไทยคิดอย่างไรกับกาสิโน : ครอบครัวยังไหวไหม” จัดโดยมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ร่วมกับสถาบันส่งเสริมบทบาทพ่อแม่เพื่อสังคม มีพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กและเยาวชนเข้าร่วมมากกว่า 50 คนนางณัฏฐนาท ปฐมวรชัย ในฐานะแม่ท่านหนึ่งกล่าวว่า “รัฐบาลอาจมองว่าพวกเราวิตกวิจารณ์กันจนเกินไปกับโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะขณะนี้ครอบครัวแทบจะไม่ไหวแล้ว ที่ผ่านมาปัญหาจากกัญชา และบุหรี่ไฟฟ้าก็สู้กันหนักแล้ว พอจะเอากาสิโนกับพนันออนไลน์มาเพิ่มอีก ก็ทำให้อดจะกังวลไม่ได้ เพราะเราไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้จะทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กและครอบครัวจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และจะเป็นบ่อเกิดของปัญหาอะไรตามมาบ้าง การโกหก ลักขโมย และความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นในครอบครัว ที่สำคัญคือ ค่านิยมที่อาจจะบิดเบี้ยวไปของเด็กรุ่นใหม่ต่อการทำมาหากิน ก็อาจจะเปลี่ยนไป ถามว่าครอบครัวมีสิทธิ์ที่จะคิดอย่างนี้มั้ยแน่นอนว่ามี และรัฐบาลเป็นผู้นำมันมาสู่ครอบครัวด้วยนโยบายของรัฐบาลเอง”
นางสภิญญา วิทยฐานกรณ์ คุณแม่อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “ครอบครัวต้องการความชัดเจนในสิ่งที่รัฐบาลกำลังคิดจะทำว่ารูปธรรมและรายละเอียดของมันคืออะไร มีการหมกเม็ดเพื่อซ่อนเร้นอะไรไว้และไม่บอกประชาชนหรือไม่ สิ่งที่เราไม่ไว้ใจคือรัฐบาลใช้เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์บังหน้าแล้วสอดไส้ซุกซ่อนความเลวร้ายในนั้น”“ในฐานะของครอบครัว นโยบายของรัฐควรสร้างเซฟโซนให้กับเรา แต่เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะกลายเป็นที่ที่พ่อพนัน แม่ช็อปปิ้ง แล้วลูกล่ะ? จะให้เด็กเขาโตมาในสภาพแวดล้อมและค่านิยมแบบใด ที่นี่หรือเปล่า ที่เข้ากับคำขวัญวันเด็กของนายกฯแพทองธารว่า ทุกโอกาสคือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” นางสภิญญากล่าว
ด้านคุณพ่อนายเอกวัฒน์ ตั้งเสริมวงศ์ กล่าวว่า “แน่นอนว่าเรื่องนี้จะทำให้พ่อแม่เหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก คนของครอบครัวจะถูกดึงเข้าสู่วงจรของการพนันมากขึ้น และจะทำให้ครอบครัวโดนกดทับจากภาวะเศรษฐกิจ และต้องดิ้นรนมากขึ้น ที่น่าเป็นห่วงมากคือ ครอบครัวระดับรากหญ้า จะโดนกดทับมากขึ้น ครั้นพอลูกหลานของเขาไปเกิดปัญหา สังคมก็จะมาโทษว่าเป็นเพราะพวกเขาเลี้ยงลูกไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวของเขาตกเป็นเหยื่อต่างหาก และคนที่ลอยตัวก็คือรัฐบาล”
“อยากเสนอว่า รัฐบาลควรเลือกวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากกว่าการเปิดกาสิโน เช่น การส่งเสริม SME หรือ OTOP ให้เข้มแข็งอย่างแท้จริง เป็นต้น การจะมีกาสิโนไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นๆของประเทศ หรืออาจจะไม่สำคัญเลย ควรมีการศึกษาอย่างถ่องแท้ ไม่จำเป็นต้องรีบแต่อย่างใด” นายเอกวัฒน์กล่าว
คุณแม่อีกท่านหนึ่งคือ นางพรฤดี ปิยะคุณ กล่าวว่า “ปัญหาคนติดพนันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และการจะฟื้นฟูคนติดพนันนั้นยากพอๆ กับคนที่ติดยาเสพติด จึงอยากให้รัฐบาลคิดเรื่องนี้ให้ดี ตนมีประสบการณ์เป็นผู้ให้คำปรึกษาผู้มีปัญหาพนัน พบว่าผู้ติดพนันพวกเขามีความทรมานมาก เขาอยากเลิก แต่ห้ามตัวเองไม่ได้ และเขาต้องทนอยู่กัยความรู้สึกล้มเหลวของตัวเอง พูดจาอะไรก็ไม่มีใครเชื่อถือ รู้สึกว่าตนไม่เหลืออะไรดี การจะกู้เขากลับคืนมาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องนับหนึ่งใหม่ และยากที่จะฟื้นฟูกลับมาได้”
แม่เอ (นามสมมติ) เปิดเผยว่า “ลูกชายของตนเองตอนนี้อายุ 20 ปี ติดพนันหนักในช่วง 2-3 ปีหลัง และทรมานมาก เขาอยากเลิกแต่ก็ยังเลิกไม่ได้ ถึงแม้จะยังไปทำงานได้ แต่ก็ทำได้ไม่ดี เพราะติดคอยแต่จะหมกมุ่นกับการเล่นพนันผ่านโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา จนถูกนายจ้างคาดโทษว่าจะไล่ออก ครอบครัวต้องจำกัดเงินให้วันละ 100 พอให้มีใช้กินใช้อยู่เท่านั้น มันเป็นห้วงเวลาที่ชีวิตแม่ยากลำบากอย่างยิ่ง แล้วตนยังมีลูกอีกสองคนซึ่งกำลังเติบโตตามมา และเห็นพี่เป็นตัวอย่าง แม่ต้องพยายามทำทุกทางที่จะปกป้องลูกอีกสองคนให้ไม่เป็นอย่างพี่ชาย จึงไม่อยากให้รัฐบาลทำเรื่องนี้”
นางสาวธนิตา ภูมิชัยโชติ หนึ่งในเยาวชนที่มาร่วม แบ่งปันประสบการณ์ว่า “หนูมีเพื่อนที่เคยเรียนดี แต่ถูกชวนไปเล่นพนันจากคนใกล้ตัวมายุว่าเล่นแล้วได้เงินจริง พอไปเล่นเข้าเขาก็กลายเป็นคนติดพนันแล้วก็เสียการเรียนไปเลย เที่ยวยืมเงินเพื่อนไปทั่ว ขอคนละ 10 20 หรือ 50 บาทก็ยังดี หนูไม่อยากให้รัฐบาลทำเรื่องนี้เลย”นี่คือเสียงสะท้อนจากหัวใจครอบครัวไทยที่มีต่อรัฐบาล