ในยุคหลังสงคราม โลกเราก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่างๆ เฟื่องฟู เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมนาฬิกา บริษัท Schulp & Co. (ปัจจุบัน คือ Rado) จึงตัดสินใจสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีคุณสมบัติโดดเด่นกว่าแบรนด์อื่นขึ้นมา เพื่อให้ได้นาฬิกาที่ใช้งานได้นานกว่า มีอายุยืนยาวกว่านาฬิกาชั้นเยี่ยมในตลาดแทบทุกยี่ห้อ
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ Rado ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ วิศวกรของบริษัททำงานร่วมกับดีไซเนอร์อย่างหนักเพื่อค้นหาวัสดุที่ตอบโจทย์และสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งผู้ก่อตั้ง Schulp & Co. มั่นใจว่าทีมงานของตนต้องทำได้ เหมือนที่เคยบอกไว้ว่า “ถ้าเราจินตนาการสิ่งใดขึ้นมาได้ แปลว่าเราก็สร้างสรรค์สิ่งนั้นได้ แล้วถ้าเราสามารถทำได้ เราก็จะลงมือทำ!”
ในยุคที่นาฬิกาส่วนใหญ่ทำจากทอง หรือทองเหลืองชุบ ส่วนกระจกหน้าปัดก็มักใช้พอลิเมอร์หรือแร่ แต่ Rado ได้ริเริ่มนำทังสเตนคาร์ไบด์ (โลหะแข็ง) กับคริสตัลแซฟไฟร์ที่แข็งแรงทนทานใกล้เคียงเพชรมาใช้ผลิตนาฬิกาที่ป้องกันรอยขีดข่วนได้จริง จนกระทั่งวันที่ 28 พ.ย. 1961 Rado ก็ได้จดสิทธิบัตรการใช้โลหะผสมชนิดโลหะแข็งมาใช้ผลิตตัวเรือนนาฬิกา และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่โลหะแข็งมาอยู่ร่วมกับคริสตัลแซฟไฟร์บนนาฬิการุ่นใหม่ดีไซน์โดดเด่นของ Rado ที่ชื่อว่า DiaStar
เกี่ยวกับชื่อ—DiaStar
Rado ได้แถลงถึงนาฬิกาเรือนใหม่ ที่รูปลักษณ์งดงามและมีประโยชน์ใช้สอยดีเยี่ยมไว้ว่า ความทนทานคือปัจจัยสำคัญของผู้ซื้อในยุคหลังสงครามที่หลายคนยังกังวลถึงความอันตรายต่างๆ ดังนั้นนาฬิกาในยุคนี้จึงต้องใช้งานได้ยาวนานกว่ารุ่นใดๆ แบรนด์จึงนำทังสเตนคาร์ไบด์ (โลหะแข็ง) ที่มีความทนทานสูงมากกับคริสตัลแซฟไฟร์มาใช้ สร้างสรรค์เป็นนาฬิกาที่แข็งแกร่งราวกับเพชร และแม้จะใส่ไปแล้วหลายปีก็ยังคงเงางามส่องประกายราวกับดวงดาวอยู่ และนี่เองคือที่มาของชื่อ “DiaStar” ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน ชื่อนี้ก็ยังคงสะท้อนความตั้งใจและคาแร็กเตอร์ของเรือนต้นเมื่อ 61 ปีที่แล้วเสมอ