CIBA DPU จับมือ IBERD จัดเวทีเชิญกูรูด้านการค้าระหว่างประเทศ-โลจิสติกส์ ร่วมแนะทางรอดธุรกิจส่งออกหลังโควิด-19

CIBA DPU จับมือ IBERD จัดเวทีเชิญกูรูด้านการค้าระหว่างประเทศ-โลจิสติกส์ ร่วมแนะทางรอดธุรกิจส่งออกหลังโควิด-19 ชี้หาตลาดใกล้ CLMV ทดแทนตลาดไกล เหตุต้นทุนขนส่งต่ำ-ศก.โตต่อเนื่อง ด้านตลาดแรงงานแนะ Up Skill ทักษะด้านผู้ประกอบการและดิจิทัล มั่นใจช่วยให้หางานง่ายหลังยุคโควิด-19

          ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรม คณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) หรือ DPU  เปิดเผยว่า  CIBA DPU ร่วมกับ   มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจการพาณิชย์ (IBERD) จัดกิจกรรม IBERD Virtual Live Business and Economic Conference โดยเป็นความร่วมมือเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลังและการค้า    สำหรับครั้งที่ 3 จัดภายใต้หัวข้อ “การค้าและการลงทุนภายใต้กลุ่มประเทศ CLMV หลังวิกฤตการณ์โควิด -19”  โดยได้รับเกียรติจากอดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์(นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์) และประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (สุวิทย์ รัตนจินดา) ร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้ และ กรรมการสถาบัน IBRED และอดีตผู้อำนวยการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ชาญ สารเลิศโสภณ) เป็นผู้ดำเนินรายการ  สำหรับผู้สนใจข่าวสารกิจกรรมต่างๆ ของ CIBA สามารถติดตามได้ผ่านทางเพจ   https://www.facebook.com/dpuciba/  หรือ เว็บไซต์ https://ciba.dpu.ac.th/

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเมกะเทรนด์โลกในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี วิกฤตดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัลเร็วขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลายในรูปแบบต่างๆ เช่น การใช้โปรแกรม Zoom เพื่อประชุมทางไกล นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเร่งให้คนใช้จ่ายด้านสุขภาพมากขึ้น ส่วนคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตในโลกออนไลน์มากขึ้นเช่นเดียวกัน ขณะที่ภาคเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว หลายประเทศหันมาเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคแทน เพื่อลดความเสี่ยงและลดต้นทุนจากการขนส่ง สำหรับประเทศไทยถือว่ามาถูกทางที่ทำการค้ากับ CLMV( กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) หรือกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีแนวโน้มเศรษฐกิจโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นเขตการค้าเสรี (Free Trade Area:FTA) ที่สำคัญประเทศเพื่อนบ้านต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยจึงทำให้ไทยได้เปรียบหลายด้าน

            “เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศได้ผุดโครงการเย็น-ดี สร้างโปรแกรมให้เกิดกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาเจรจาธุรกิจสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์  ปัจจุบันในกลุ่มมีสมาชิกทั้งหมด 1,406 คน ซึ่งในระยะกลางของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โปรแกรมดังกล่าวถือเป็นตัวช่วยให้นักธุรกิจติดต่อค้าขายได้ง่าย” นายอดุลย์ กล่าว

นายอดุลย์ กล่าวด้วยว่า ไทยต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านดิจิทัล เพราะเป็นสิ่งสำคัญมากในการค้าระหว่างประเทศ ส่วนด้านการเรียนการสอนนั้นคนรุ่นใหม่ที่จบออกมาชอบทำงานอิสระ ไม่อยากเป็นลูกจ้างใครดังนั้น ในระยะสั้นนี้ ทักษะที่จะทำให้มีงานทำและมีรายได้ คือ ทักษะความเป็นผู้ประกอบการและด้านดิจิทัล ถ้าใครมีสองสิ่งนี้เชื่อว่าจะทำให้มีงานทำและ มี Startup ดีๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย

นายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ ได้ติดตามภาวะเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 มาโดยตลอด จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก เมื่อสายการบินทุกสายหยุดชะงักกะทันหัน การขนส่งสินค้าและขนส่งผู้โดยสารได้เกิดผลกระทบอย่างหนัก การขนส่งสินค้าเร่งด่วน สินค้าอาหาร ผลิตภัณฑ์ยา สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จะส่งไปทั่วโลกติดอยู่ที่สนามบิน ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ต้องหาหนทางส่งสินค้าให้ถึงเป้าหมาย ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีการขนส่งซึ่งต้นทุนสูงกว่าเดิม หลังจากนี้ต้องมาวิเคราะห์แนวทางการขนส่งทางอากาศใหม่ หรือหามาตรการแก้ไขให้กลับมาขนส่งได้ในราคาใกล้เคียงต้นทุนเดิมมากที่สุด หรือเปลี่ยนมาเป็นการขนส่งทางเรือ เพราะมีข้อจำกัดน้อยกว่าช่องทางอื่นและสามารถส่งสินค้าที่มีความจำเป็นได้ทั่วโลก สำหรับการค้าขายในระยะนี้ ต้องค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ระยะเวลาขนส่งรวดเร็ว ต้นทุนไม่สูง

“ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 กลุ่มโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญมาก ในการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภครวมถึงเวชภัณฑ์ต่างๆ เพราะสินค้าในกลุ่มนี้สามารถสร้างความมั่นใจให้คนทั่วโลกได้ หลังจากนี้ทุกภาคส่วนต้องหารือเรื่องการบริหารการจัดการด้านโลจิสติกส์ เพราะยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าโรคระบาดนี้จะอยู่กับคนทั่วโลกไปอีกนานหรือไม่ ”นายสุวิทย์ กล่าว

นายสุวิทย์ กล่าวอีกว่า การขยายความร่วมมือทางการค้ากับ CLMV ไทยถือเป็นรายใหญ่ในการส่งออก ขณะเดียวกันตลาดที่เราต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไปคือจีน เนื่องจากอนาคตอันใกล้จะเห็นภาพการขนสินค้าทางบกจากไทยไปลาว จีน เอเชียกลาง 11 ประเทศ ผ่านระบบราง และเชื่อมต่อไปยังยุโรปได้ ดังนั้นไทยควรมองหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเดิม  อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียน แต่ไทยยังต้องมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ที่สำคัญต้องกลับมาดูจุดแข็งของประเทศหรือดูโครงสร้างใหม่ เนื่องจากการค้าขายในอนาคตมีหลากหลายช่องทาง นอกจากนี้การพัฒนาระบบ E-Document เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยลดเวลา ลดค่าใช้จ่าย รวมถึงการทำงานกับท่าอากาศยานและการท่าเรือสะดวกรวดเร็วขึ้น  ทั้งยังสามารถเชื่อมโยงไปยังต่างประเทศที่มีความพร้อม อันจะนำไปสู่ระบบดิจิทัลโลจิสติกส์ที่สมบูรณ์ได้ .

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *