บริโภคยั่งยืน เริ่มได้ที่ตัวคุณ

วันที่ 15 มีนาคมของทุกปีถือเป็น “วันสิทธิผู้บริโภคสากล” โดยในปี 2568 องค์กรผู้บริโภคทั่วโลก จะร่วมกันรณรงค์ “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน” อันจะเป็นวาระที่สำคัญร่วมกันผลักดันใประเทศไทยด้วย โดยสภาองค์กรของผู้บริโภค(สภาผู้บริโภค) ร่วมกับเครือข่ายผู้บริโภคกว่า 340 องค์กร เปิดเวทีเสวนา “บริโภคยั่งยืน เริ่มได้ที่ตัวคุณ” มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคในหลายมิติ เช่น การบริโภคอาหาร การเดินทาง การใช้พลังงานในครัวเรือน และการเลือกซื้อสินค้าและบริการ

พลังผู้บริโภคสร้างสังคม

วิทูรย์ เลี่ยนจำรูญ” เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี ที่ทำงานขับเคลื่อนสิทธิผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง มองประเด็นสำคัญในเรื่องพลังของผู้บริโภคคือส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่วิถีการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน และถือเป็นพันธกิจของทั้งโลก ในส่วนของประเทศไทยมีการกำหนดอยู่ในเป้าหมายที่ 12 ของการพัฒนาที่ยั่งยืน ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ปี 2556-25670 แต่ที่น่าผิดหวังคือยังไม่มีการแตะเรื่องสำคัญดังที่เป้าหมายระดับโลกตั้งเอาไว้

“โดยเฉพาะบทบาทของบริษัทเอกชน และพลังและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ทำให้ปัจจุบันยังมีปัญหาสารพิษตกค้างในระบบนิเวศและอาหาร รวมถึงยาปฏิชีวนะที่มาจากระบบการผลิตสมัยใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ เหตุปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 จากการเกษตรเชิงเดี่ยว ที่ส่งผลต่อราคาอาหาร การนำเข้าสินค้าเถื่อน หมูเถื่อนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นการลงโทษ มีการนำเข้าปลาหมอคางดำ ทำลายระบบนิเวศ ก็ไม่สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ เป็นต้น จนชาวบ้านต้องลุกมารวมตัวกันฟ้องร้องเอง”

การเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนจะต้องอาศัยพลังของผู้บริโภค แต่การเปลี่ยนแปลงจากกลไกโครงสร้างหลักโดยปราศจากอำนาจของประชาชนเป็นสิ่งที่ยากจะเป็นไปได้

วิทูรย์” ชี้ว่า ผู้บริโภคไม่ได้มีอำนาจแค่เพียงการซื้อสินค้าเท่านั้น เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ แต่หมายถึงบทบาทของผู้บริโภคสามารถขยายไปถึงการกำหนดทิศทางของตลาดและวัฒนธรรมสามารถสร้างแบบแผนการผลิตและการบริโภคให้เกิดขึ้นได้โดยพลังอำนาจของเรา

“สิ่งนี้หมายถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านอำนาจในการซื้อ การแลกเปลี่ยนข่าวสาร ปฏิบัติการแบนและบอยคอตและสร้างพลังอำนาจผ่านกระบวนการทางการเมืองให้เกิดขึ้นภายใต้วิถีประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม ถึงเวลาที่คนเล็กคนน้อยร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มั่นคงยั่งยืน แล้ววิถีการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง”

ปฎิบัติการ”คิดนอกใจ”

ในยุคที่พลังของผู้บริโภคเป็นอีกหนึ่งเสียงการเปลี่ยนแปลง และสร้างการบริโภคอย่างรับผิดชอบ “ชโลม เกตุจินดา” หัวเรือใหญ่ในพื้นที่ทำงานเขตภาคใต้ สภาองค์กรของผู้บริโภค ตีโจทย์ปฎิบัติการในพื้นที่ ว่า สิ่งจำเป็นที่ผู้บริโภคต้องรู้ว่า ถ้าเราจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ต้องเกิดจากตัวเราส่วนหนึ่ง เราทำงานผู้บริโภค เรามีปฎิบัติการมากน้อยแค่ไหน ไม่จำเป็นต้องลดขวดเหมือนทุกคน แต่สิ่งที่เราอยากเห็นเป็นปฎิบัติการที่มีคนอื่นช่วยด้วยมันคือ “ปฎิบัติการไม่เหงา เราจะไปด้วยกัน”

โดยยกกรณีศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอซาก้าที่สำรวจความต้องการในการติดตั้งตู้กดน้ำเย็นในพื้นที่สาธารณะว่าอยากให้ติดตั้งหรือไม่ / มีแล้วจะใช้ทุกวันหรือไม่ / มีตู้ต้องมีกระบอกน้ำของตัวเอง โดยผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า “ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าว”

กรณีนี้ ย้อนกลับมามองที่บ้านเรา เราต้องมีสิทธิที่จะได้ตู้กดน้ำ ถ้าเราต้องการให้ศาลากลางจังหวัด, รพ.,สถานีขนส่ง มีการติดตั้งตู้กดน้ำมันจะช่วยลดขวดน้ำไปได้จำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดการใช้ขวดพลาสติกที่ก่อให้เกิดปัญหาไมโครพลาสติกและขยะในทะเล การติดตั้งระบบกรองน้ำในพื้นที่สาธารณะ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดโดยไม่ต้องพึ่งพาบรรจุภัณฑ์พลาสติก ”

“นี้เป็นเรื่องเรื่องใกล้ตัว แต่เรายังคิดแค่ในใจ ได้ขวดน้ำแล้วอยากจะใช้หรือไม่ เวลาประชุมเราก็ให้เอาขวดน้ำออกหมด นี้คือสิ่งที่เราสามารถคิดนอกใจได้ คิดแล้วบอกคนจัดงาน คือสิ่งที่เราต้องทำ”

เธอบอกว่านี้คือแนวคิดในการทำงานผู้บริโภค ปฎิบัติการที่เราจะทำกันต่อจากนี้คือ “การคิดนอกใจแล้ว” อยากจะทำ ลุยเลย อยากจะหาขวด พยามยามจะหาน้ำไม่มีตู้ก็ไม่เป็นไร ตายเอาดาบหน้า พกขวดน้ำไป ไม่เอาช้อนพลาสติก ก็ต้องพกช้อนอันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง มีกล่อง น้ำจิ้มไม่เอา มีกล่องใส่ถุงพลาสติก หากต้องพึ่งร้านสะดวกซื้อ แต่เราบอกไม่เอาช้อน น้ำพริก น้ำปลา นี้คือชีวิตเรา บางครั้งขอเวลาหน่อย ยังไม่พร้อม หรือขอดูข้อมูลหน่อย ข้อมูลมีอะไรที่จะทำให้เป็นทางเลือกของเราได้บ้าง

รวมทั้งในสำนักงาน มาช่วยกันทำรียูสเราจะต้องจัดการในสำนักงานเป็นระบบ Paperless เป็นออฟฟิศที่มีการดูแลขยะ หรือทำอะไรที่เป็นตัวเรา มีอะไรที่เราทำแล้วมันสามารถบริโภคยั่งยืนได้ในแบบเรา แต่ในท้ายที่สุดชวนกัน เพื่อนๆ ทำกันหน่อย ทำคนเดียวฉันเหงา Think Global act Local ต้องมีปฏิบัติการของเรา คิดถึงโลกกว้าง สร้างสรรค์ท้องถิ่น

“ชโลม” มองว่า พลังของผู้บริโภคสำคัญในยุคนี้ ต้องใช้เงินให้คุ้มค่าของเงินและค่าของบริการ รวมถึงการผลักดันที่มีพลัง “ซื้อหรือไม่ซื้อ” แอบบอทมีปัญหา เราไม่ซื้อ ใครขายยา แล้วไม่ให้ยาที่ผ่านซีแอลได้ เราก็ไม่ซื้อ ร้านสะดวกซื้อร้านนี้มีปัญหา เราก็ไม่ซื้อ “ผู้บริโภคคือผู้กำหนดคุณภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ”

ส่วนการลดการบริโภค คือขั้นสุดยอด อยากให้เราคิดปฏิบัติการของตัวเราเอง ที่เป็นตัวเรา ขอให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะการบริโภคอย่างยั่งยืนจะเกิดประสิทธิผลสูงสุดเมื่อทุกคนร่วมมือกัน

เพิ่มทางเลือกผู้บริโภค

การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะถือเป็นเรื่องสำคัญในการเพิ่มทางเลือกสู่การบริโภคอย่างยั่งยืน “วีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา” หรืออาจารย์แฟร้งก์ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้า แชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตประจำวันในการไปทำงานที่ลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ว่า ชีวิตส่วนตัวไม่ขับรถและไม่คิดจะซื้อรถ เพราะบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานเดินทางสะดวก โดยส่วนใหญ่จะใช้บริการแท็กซี่เป็นหลัก หรือตอนไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมันไปไหนมาไหนด้วยการใช้บริการรถสาธารณะ หรือไปเที่ยวในยุโรปก็จะมีรถสาธาณะ แต่ในเมืองไทยสิ่งที่แย่คือรถบริการสาธาณะในพื้นที่ต่างจังหวัด

” การไม่ขับรถยนต์หนึ่งคัน หมายความว่า ไม่มีรถวิ่งบนถนนหนึ่งคัน ไม่มีรถไปจอดข้างทาง จอดในที่ไม่ควรจอด นี้คือสิ่งที่เรียกว่าทำให้บริโภคยั่งยืน ใช้พลังงานน้อยลง ฝุ่น PM2.5 น้อยลง สังคมเมืองดีขึ้น ไปไหนมาไหนก็สะดวกขึ้น การไม่ใช้รถสาธารณะมันทำให้ชีวิตผมง่ายขึ้น ตรงที่ผมเดินทาง รถติด ผมสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการอื่นต่อไปได้ เช่น วินมอเตอร์ไซต์ หรือตรงไหนมีรถเมล์ รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน มีเรือ ชีวิตผมก็เปลี่ยนใช้บริการตามไป ซึ่งจะดีมากถ้าคุณไม่ต้องขับรถ แต่ไปที่ไหนก็ได้ในเมืองไทย โดยใช้รถบริการสาธารณะ”

เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำต่อมาคือการใช้การบริโภคของเรา ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรรมต่างๆมากมาย “อาจารย์แฟร้งก์” มองว่ามันคือความคุ้มค่าของการบริโภค อย่างเช่น สถานการณ์การบริโภคใหญ่ตอนนี้ สินค้าบนโลกโซเชียลมากมาย ผมเห็นเรื่องการขายครีมกันแดด ผลทดสอบ SPF ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หลายอย่างที่ราคาแตกต่างจากซุปเปอร์มาเก็ต หรือเราเคยเทียบกันหรือไม่ ยาสีฟันยี่ห้อหนึ่ง ราคาต่างกันเท่าไหร่ แล้วจะเลือกซื้อ ตอนที่อยู่เยอรมัน เราจะเลือกสินค้าที่มีเครื่องหมายเบอร์ 5 คล้ายๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าบ้านเราแล้วราคาจะถูกกว่า เมื่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เอาครีมกันแดดมาเทียบ SPF สมมติมี 4 แบรนด์ ที่ไม่ตรงปก ฉะนั้นเราก็รู้แล้วว่าเราไม่ซื้อใช้ ความคุ้มค่าก็จะเกิดขึ้น

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้า อาจารย์แฟร้งก์ ชี้ให้เห็นความสำคัญต่อผู้บริโภคอีกเรื่องในการช้อปอุปกรณ์ไฟฟ้าในโลกออนไลน์ ที่ล่าสุดมีการออกมาเตือนกัน อย่างปลั๊กไฟง

“การขายปลั๊กไฟในไทยถ้าไม่มีเครื่องหมาย มอก. แจ้งตำรวจจับได้เลย เราไปทำป้ายเตือนว่า ปลั๊กไฟถ้าไม่มี มอก.อันตราย อันนี้คือผิด ถ้าเราไปเจอในชุมชน ตลาด แจ้งได้เลยเพราะผิดกฎหมาย”

อาจารย์แฟร้งก์ บอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ แล้วถ้าเรารู้เราช่วยกัน เฝ้าระวังกัน ความเป็นผู้บริโภค ของพวกเรา คนมีความรู้ ทำเรื่องหนึ่ง อีกคนก็ทำอีกเรื่องหนึ่ง แล้วทุกคนประสานความรู้ร่วมกัน สิ่งที่เราจะได้มาคือความยั่งยืนของการบริโภค ความคุ้มค่าของเงินที่เราต้องจ่ายออกไป การลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมจากขยะ ที่เราต้องโยนสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป มันจะเกิดภาพที่เรียกว่าความยั่งยืนได้

โลกในฝันที่เราทำได้

ขณะที่ “มารีญา พูลเลิศลาภ” ในฐานะทูตองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกประจำประเทศไทย อธิบายถึงกลไกทางเศรษฐกิจ อิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ในระบบการผลิตอาหาร โดยบริษัทที่มีทุนมากสามารถซื้อวัตถุดิบในปริมาณมาก ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง และได้กำไรสูงขึ้น พวกเขาสามารถลงทุนเพิ่มและขยายธุรกิจต่อไปได้ ส่งผลให้บริษัทขนาดเล็กถูกผลักออกจากตลาด และผู้ประกอบการรายใหญ่มีอิทธิพลต่อการเมืองและพฤติกรรมผู้บริโภค

“เป็นวัฏจักรรวมอำนาจของไม่กี่ราย และรายที่ใหญ่ด้วย แล้วรายเหล่านี้สามารผลักรายเล็กออกจากเกม รายเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการเมือง ต่อสิ่งที่เราเลือกซื้อ แน่นอนว่าธุรกิจไหนก็ต้องดูเรื่องผลกำไร พยายามลดต้นทุน เราก็จะเห็นการกดราคาแรงงาน สร้างมลพิษทางอากาศ สร้างมลพิษทางน้ำ ในการแสวงหากำไรและลดต้นทุน ธุรกิจมักเลือกวิธีการที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม การปล่อยมลพิษทางน้ำและอากาศ เช่น ในคลองลาดพร้าว เต็มไปด้วยพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เตียงนอน ตู้เย็น หมวกกันน็อคลอยอยู่เพราะมันง่ายกว่า มันถูกกว่าที่เราจะทิ้งลงไปในคลอง”

ในฐานะทูตองค์กรพิทักษ์สัตว์ มารีญา ชี้ให้เห็นปัญหาในในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ โดยเปรียบเทียบภาพฟาร์มไก่ที่เลี้ยงแบบอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วจนร่างกายรับไม่ไหวแล้ว สายพันธุ์เร่งโตเร็วและเห็นทุกที่ในไทย กับอีกฟาร์มเลี้ยงไก่แบบเปิด สามารถเจอแสงแดด แสดงพฤติกรรมทางธรรมชาติได้ สุขภาพของไก่เป็นคนละเรื่องกัน

มารีญา ไม่เคยคิดว่า เราจะร้องไห้กับไก่ตัวหนึ่ง แต่พอมองเข้าไปในตาเห็นความทุกข์ทรมาน กำลังหายใจอย่างทรมาน เพราะปอดของเขาไม่ได้เป็นปอดที่พร้อมรับร่างกายใหญ่ขนาดนั้น”

แน่นอนว่าการที่เราจะฝันถึงโลกที่ดีกว่า มันอาจจะเป็นอะไรที่ยาก เรากำลังเผชิญกับยักษ์ใหญ่และทรงพลังทางเศรษฐกิจ เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพราะว่าเรากำลังสนับสนุนเขา เพราะว่าเรากำลังซื้อสินค้าของเขาอยู่ โลกของเรากำลังถูกทำลายจากรายใหญ่เหล่านี้ แล้วเรากำลังสนับสนุนเขาอยู่ กับการซื้อสินค้าของเขา แล้วนี้เป็นเอฟเฟค ของการสนับสนุนสิ่งนี้

ขณะเดียวกัน ยังรวมไปถึงผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยและสวัสดิภาพสัตว์ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้ลดทอนอธิปไตยทางอาหาร เพราะว่าทำอาหารให้กลายเป็นสินค้า นอกจากนี้เกษตรกรที่มีสัญญากับบริษัทระหว่างประเทศไม่สามารถเลือกเองว่าจะปลูกอะไร หรือ ปลูกอย่างไร ระบบอุตสาหกรรมที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ยังส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยถูกบีบจนต้องเลิกกิจการ เพราะว่าระบบที่มองเห็นปริมาณมากกว่า คุณภาพ และการปฎิบัติต่อสัตว์ฟาร์มเป็นปัญหาสวัสดิภาพสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“มีสองสถานการณ์ เราจะสนับสนุนอุตสาหกรรมที่กำลังทำร้ายเราและเราไม่มีความหวัง หรือเราอยากจะเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ของคนที่เรารัก ของปชช. แล้วเราเลือกอย่างดีว่าเงินของเรากำลังไปไหน กำลังสนับสนุนอะไร แล้วเราสามารถฝันถึงโลกที่สัตว์มีความทุกข์ทรมานน้อยลง ที่มีน้ำ อากาศ อาหาร ยา สุขภาพที่ดีขึ้น เราอยากเชิญชวนทุกคนมาฝันถึงโลกที่ดีกว่าด้วยกัน”

สร้างชุมชนอาหารปลอดภัยยั่งยืน

SAFETist Farm ถือเป็นแนวคิดในการสร้างชุมชนอาหารปลอดภัยที่ยั่งยืนก่อร่างขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด -19 ซึ่งทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงทางอาหารในประเทศไทย “วิไลวรรณ ประทุมวงศ์” หรือ ปอ ได้ปักหลักสร้างชุมชนยั่งยืนด้วยตนเองและเพื่อนๆประกาศพร้อมรับมือแม้เกิดปัญหาอีกรอบ

แล้วเราจะสร้างพื้นที่อาหารปลอดภัยร่วมกันได้อย่างไรบ้าง “วิไลวรรณ” บอกว่า สิ่งที่ตนเองทำไม่ใช่ฟาร์ม แต่คือการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนด้วยตนเอง อยากสร้างอาหารปลอดภัย ทำทุกอย่างได้ โดยจุดเริ่มต้นของโครงการเมื่อเธอและเพื่อนนักพัฒนารุ่นใหม่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงทางอาหาร หลังจากพบว่าเพื่อนหลายคนเริ่มเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี “เราค้นพบว่าอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่สามารถควบคุมได้ มากกว่าการออกกำลังกายหรืออากาศ”

“ปอ” เริ่มทำฟาร์มกันใน ปี 2563 ภายใต้ความเชื่อเรื่องการอยู่ร่วมกัน เห็นแก่ส่วนรวมก่อนแล้วตนเองจะได้ด้วย แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด “เราต้องทำให้โลกนี้มันไปต่อได้ เราต้องอารักขาโลกนี้ ไม่ใช่ทำลายโลกนี้”

เราคิดเรื่องการจัดการอาหาร น้ำ พลังงาน โจทย์เหมือนสร้างประเทศ แต่ถ้า”ปอ”สร้างชุมชนแห่งนี้ได้ มันก็เป็นพื้นที่อื่นได้ เป็นโมเดลต้นแบบพลิกประเทศของเราได้

การเป็นอยู่ของ SAFETist Farm ได้ปลูกในสิ่งที่เราอยากกิน สิ่งที่กินไป ร่างกายมีความสุขกับมันหรือไม่ การได้กินผักที่ปลูกเอง มันทรงพลังมากเราเป็นเกษตรกรแต่เราอยู่ในเมือง เราติดกับดักความสะดวกสบาย ติดกับดักอาหารแช่แข็ง แต่จริงๆแล้วเรามีพลังชีวิตในการทำทุกอย่างเองได้ ฟาร์มทำทุกอย่างด้วยสองมือ

“เราทำระบบครัวกลาง ทานอาหารร่วมกัน อาหารที่ดี เด็กค่าอาหาร 200 บาทต่อเดือน ผู้ใหญ่ 500 บาทต่อเดือน เด็กๆในชุมชนของเรา เราใช้คนทั้งฟาร์มดูแล มันไม่ใช่แค่ฟาร์มแต่มันสร้างการเรียนรู้ได้ แล้วเราก็ทำงานอยู่ที่นี้ เพื่อนๆปอ เงินเดือนฟูลไทม์ 6,000 บาท ค่าอาหารต่อเดือน 500 บาท ค่าที่อยู่ 350 บาท ที่เหลือเป็นเงินเก็บ”

สำหรับอนาคตของ SAFETist Farm พวกเรา วางเป้าหมายในปีนี้ไว้ว่าจะทำ เป็นแหล่งเรียนรู้ Farm Based Learning 5 พื้นที่ ในกทม.และปริมณฑล SAFETist Farm ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต แต่เป็นทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค เราคือ Prosumer เราเป็นทั้งสองอย่างคือ เราผลิตสิ่งๆดีให้กับโลกใบนี้ ที่สำคัญที่เราปลูกผักได้แล้ว เราแบ่งปัน เราสร้างความยั่งยืนด้วยตนเอง เราต้องทำธุรกิจได้ อันนี้คือจุดอ่อนของเกษตรกรในประเทศไทยที่น้อยรายจะไปถึงตรงนี้ได้

เราต่อสู้เพื่อให้อยู่ได้ ใช้ระบบเป็นสมาชิกตะกร้าผัก ค่าใช้จ่ายเดือนละ 500 ,1000 ,1800 บาท ลูกค้าของเราเดือนมกราคมเขาจะโอนเงินมาให้ เขาไม่เคยมาฟาร์ม แต่เขารู้ว่าเราทำอะไรบ้างมันคือระบบความเชื่อ ไว้วางใจ ที่ลูกค้าให้เรา แล้วจ่ายให้เราทุกเดือน ไม่หนีไปซื้อใคร ตลาดราคาผักยังสูงขึ้น แต่ของเราเท่าเดิม ดูแลทุกคนเหมือนครอบครัว

คุณกินผักอย่างไร เราก็กินแบบนั้น นี้คือผู้บริโภคควรจะได้แบบนี้จากผักที่เราทานใช่หรือไม่ เราต้องทำให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่ดีและปลอดภัยได้ มันไม่ใช่ต้องเข้าร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาเก็ตหรูแล้วราคาสูง

“ทุกวันนี้ มีรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนทำงานเดินทาง ปัจจุบันมีความสุขมาก มันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่ของคนรุ่นใหม่ เราอยู่ร่วมกันแบบนี้ได้ สร้างชุมชน สร้างสังคมร่วมกันแบบนี้”

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *