หมอคำนวณ เตือน คณะกรรมการคุมน้ำเมา อย่าไหลตามมติครม. โละกฎระเบียบ เปิดทางขายเหล้าออนไลน์ วันพระ สถานบันเทิง โรงแรมขายกันฉ่ำ 24 ชั่วโมง ทำคนเจ็บป่วยตายเกลื่อนถนน เข้าข่ายปฎิบัติหน้าที่ด้วยความประมาท แนะตั้งคณะศึกษารอบคอบ ย้ำสร้างความปลอดภัยเป็นหน้าที่รัฐตามรัฐธรรมนูญ ด้าน “เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ“ อ่านแถลงการณ์ค้านสุดตัว ชงยกเลิกการขยายเวลาขายตี 4 ในพื้นที่นำร่อง แก้กฏหมายเมาขับชนคนตายต้องติดคุกจริงไม่รอลงอาญา
นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “รัฐบาลเร่งปลดล็อคขายสุรา เพื่อผลประโยชน์ธุรกิจอยู่เหนือธรรมาภิบาล หรือไม่ ? แต่คนไทยหวั่นใจตายเจ็บเพิ่ม” จัดโดย เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน โดยระบุว่า คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรพิจารณาความเสี่ยงในข้อเสนอต่างๆ ในการแก้ไขกฎระเบียบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดังนี้
1. การยกเลิกระเบียบเพื่อให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ได้ ซึ่งปัจจุบันมีร้านสะดวกซื้อแบบธุรกิจขนาดใหญ่กว่า 2 หมื่นร้าน ผับ บาร์ ที่คล้ายสถานบริการ อีกกว่า 2 แสนร้าน จากจำนวนที่ได้ใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 570,000 ใบ ประกอบกับแพลตฟอร์มซื้อของอีกมาก หากอนุญาตในประเด็นนี้ จะทำให้เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย ไร้การตรวจสอบ จึงไม่ควรอนุมัติ ควรชะลอการตัดสินใจและให้มีคณะศึกษาผลกระทบอย่างละเอียด
2. การให้โรงแรมที่จดทะเบียน ซึ่งมีประมาณ 15,000 แห่ง ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ 24 ชั่วโมง จะทำให้มีการดื่มเพิ่มขึ้น เสี่ยงบาดเจ็บและเสียชีวิตบนถนนจากการดื่มแล้วขับเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เป็นอย่างน้อยในหลายจังหวัด เหมือนที่เกิดขึ้นจากการขยายเวลาให้สถานบริการในจ.ชลบุรีและภูเก็ต ประมาณ 1,000 แห่ง เปิดได้ถึงตีสี่ ทำให้เกิดอุบัติเหตุช่วง 02.00-07.00 น.เพิ่มขึ้น มีผู้บาดเจ็บเพิ่ม 900 ราย คิดเป็น 14% เสียชีวิตเพิ่ม 37 ราย คิดเป็น 25% ดังนั้น คณะกรรมการฯ ไม่ควรอนุมัติหรือให้ชะลอการตัดสินใจ และให้มีคณะศึกษาผลกระทบอย่างละเอียด หากต้องการบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติให้รับประทานอาหารกลางวันและมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประกอบ อาจเลือกขยายเวลา 14.00-17.00น.ในโรงแรมที่ผ่านการคัดกรองว่าสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและร่วมรับผิดชอบหากเกิดการเมาแล้วขับ ทั้งนี้ให้มีการหารือกับชุมชนของจังหวัด ซึ่งสามารถตั้งคณะพิจารณาให้รอบคอบเป็นรายพื้นที่ตามความพร้อม แทนการออกประกาศทั่วประเทศ
3.การขยายเวลาให้สถานบริการทั้งในและนอกโซนนิ่ง ซึ่งมีเกือบ 30,000 แห่ง ขายได้ถึงตีสี่ จะทำให้เกิดอุบัติเหตุบนถนนเพิ่มขึ้นแน่นอนในช่วงเที่ยงคืนถึงเช้าดังปรากฎที่จ.ชลบุรี และภูเก็ต เพราะมาตรการการป้องกัน เช่น ตั้งด่านตรวจ การไม่ขายให้คนเมา ทำได้จริงแค่ 30-40% ประกอบกับการขาดแคลนบุคลากร ขาดแคลนงบประมาณ เครื่องมือตรวจวัดแอลกอฮอล์ ของฝ่ายรัฐ ฯลฯ เรื่องนี้จึงไม่ควรดำเนินการ
4. การยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 5วัน ได้แก่ วันมาฆะบูชา วันวิสาขะบูชา วันอาสฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา จากการวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลปี 2565-2567 พบค่าเฉลี่ยจำนวนผู้บาดเจ็บต่อวันในวันพระใหญ่ 1,967ราย ลดลง 5% เมื่อเทียบกับวันหยุดนักขัตฤกษ์อื่นๆ ไม่รวมปีใหม่ สงกรานต์ที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ ส่วนค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตต่อวัน 36ราย ไม่มีความแตกต่าง จึงสมควรศึกษา ตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง ที่สำคัญหากจะยกเลิกการห้ามขายวันพระใหญ่ ก็ควรรับฟังความเห็นของประชาชนก่อน
“ตามมติ ครม.ได้กำหนดให้ศึกษาความเหมาะสม การเร่งรีบออกมาตรการต่างๆ ให้ทันสงกรานต์โดยไม่ศึกษาอย่างดี ย่อมเกิดการตั้งข้อสังเกตว่าเข้าข่ายการปฎิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทและอาจส่งผลให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากมาตรการของรัฐถึงประมาณ 600-800 คน คณะกรรมการฯ จึงมีความชอบธรรมและเหตุผลจำเป็นที่ต้องตั้งคณะศึกษาทางวิชาการอย่างรอบคอบรอบด้านเพราะเป็นเรื่องความปลอดภัยของประชาชนที่เป็นหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” นพ.คำนวณ กล่าว
ด้าน นายเจษฎา แย้มสบาย เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กรุงเทพมหานคร ได้อ่านแถลงการณ์เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ สรุปว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับได้มีโอกาสขับเคลื่อนการทำงานผ่านมาหลายรัฐบาล หลายนายกรัฐมนตรี ไล่เรียงไปตั้งแต่สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนมาถึงยุคของนางสาวแพรทองธาร ชินวัตร แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแต่ละท่านไม่เคยทำและไม่มีนโยบายที่ทำ คือการกำหนดหรือผลักดันนโยบายที่เป็นภัยคุกคามความปลอดภัยทางถนนของพี่น้องประชาชน โดยนำข้ออ้างทางเศรษฐกิจมาเป็นเหตุผลในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว พิจารณาได้จากในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2544-2549 ตลอดช่วงเวลา 6 ปีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อนุมัติให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ขึ้น ในประเทศไทยจนเป็นรากฐานการรณรงค์และการบังคบใช้กฎหมายเพื่อความปลอดภัยทางถนนตราบถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้วในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2549รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกประกาศห้ามสถานีบริการน้ำมันขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วประเทศ จาก 2 นโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดคุณูปการอันใหญ่หลวงในการลดปัจจัยเสี่ยงทางถนนในประเทศไทย และในรัฐบาลชุดต่อๆมาก็มีความก้าวหน้าในการออกมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดผลกระทบทางสังคม ที่หลากหลายแตกต่างกันไป และไม่ปรากฎว่ามีนายกรัฐมนตรีคนไหนผลักดันนโยบายที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนบนท้องถนนเลย
“จนมาถึงยุคนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นโยบายที่เป็นภัยคุกคามความไม่ปลอดภัยทางถนนของคนไทย จึงถือกำเนิดขึ้น คือการอนุญาตให้ 5 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ จังหวัดชลบุรี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) เปิดสถานบันเทิงได้ถึงเวลาตี 4 จากผลการดำเนินนโยบายดังกล่าวผ่านมา 1 ปีกับ 3 เดือน ผลสรุปอุบัติเหตุใน 5 พื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 30 % ต่อมาประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ่งที่นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กระทำสวนทางกับสิ่งที่บิดาทำอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามจะผลักดันนโยบายให้สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในวันพระใหญ่ 5 วัน ให้ประชาชนสามารถสั่งซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ได้ รวมถึงการยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. พวกเราเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับจึงออกแถลงการณ์คัดค้านนโยบายดังกล่าว เพราะจะก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากอุบัติเหตุทางถนนมากกว่าผลดีทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลมุ่งหวัง ขอวิงวอนไปยังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศเป็นสำคัญ นโยบายใด ๆ ที่ก่อให้เกิดผลเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ รัฐบาลต้องพึงงดเว้น และควรทบทวนการขยายเวลาสถานบริการในพื้นที่นำร่องให้กลับมาเป็นปกติจะเป็นประโยชน์กว่ามาก และยังมีหลายอย่างที่ควรทำเช่นแก้กฎหมายเพิ่มโทษเมาแล้วขับชนคนตายต้องติดคุกจริงไม่รอลงอาญา หรือแก้ไข พรบ.สถานบริการให้ทันสมัย นำสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการเข้าระบบควบคุม” นายเจษฎา กล่าว