เครือข่ายงดเหล้า และ สสส. จับมือภาคีเครือข่าย จัดค่ายสานพลังครอบครัวฯ เดินหน้ายุทธการ “หักหอกเป็นดอกไม้” ดูแล แคร์ใจ ต้านภัยปัจจัยเสี่ยง ฟื้นฟูคนป่วย คืนคนดีสู่สังคม

เมื่อเร็วๆนี้ เครือข่ายงดเหล้า ภายใต้ การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สถานฟื้นฟูสมรรถภาพพลเมืองกองทัพบก มณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี และโรงพยาบาล อำเภอนาดี จัดโครงการค่ายสานพลังครอบครัวไทยต้านภัยวิกฤตจิตเวช ภายใต้ยุทธการ “การหักหอกเป็นดอกไม้” ในกิจกรรม “ร้อยใจให้โอกาสในอ้อมกอดของครอบครัว” โดยมีนายสมใจ พุทธเสนา นายอำเภอนาดี เป็นประธาน ในกิจกรรม ณ วังตะพาบรีสอร์ท ตำบลสะพานหิน อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

นางปทุมรัตน์ เกตุเล็ก ประชาคมจังหวัดปราจีนบุรี อดีตพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มจิตเวช และยาเสพติด กล่าวว่า จากการดำเนินงานชุมชนคนสู้เหล้าในพื้นที่อำเภอประจันตคาม กว่า 10 ปี ช่วยคนเลิกเหล้าสำเร็จจำนวนมาก แต่ยังมีปัญหาผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติดเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายร่างกาย ลักขโมยในชุมชน ปัจจุบันมีการขับเคลื่อนพัฒนาชุมชนล้อมรักษ์ ต่อยอดจากการทำงานชุมชนคนสู้เหล้าบ้านเกาะมะไฟ ต.บ้านหอย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง สามารถส่งต่อผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาอย่างเป็นกระบวนการด้วย “ยุทธการหักหอกเป็นดอกไม้” โดยเป็นการดูแลผู้ป่วยวิกฤตจิตเวชที่เกิดจากแอลกอฮอล์ และยาเสพติด โดยมีชุมชนเป็นฐานเน้นหลักการ “พลิกใจให้เลิกยา” จนสามารถคืนผู้ป่วยจิตเวชกลับคืนสู่สังคมได้สำเร็จ

“วิธีการ คือ เตรียมความพร้อมชุมชน ด้วยแนวทางดูแลเคสวิกฤตจิตเวชโมเดลร้อยใจให้โอกาสในอ้อมกอดของชุมชน ส่งมอบเคสให้ชุมชนดูแลเคสต่อเนื่อง เราทำงานกันเป็นทีม ทีมโอบอุ้ม คอยเตือน ทีมวิกฤต ส่งต่อ และการเจรจาร้านค้าในพื้นที่ ทำให้เราประสบความสำเร็จในการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ ก็เป็นเพราะทีมงานเข้มแข็ง มีความรู้ ซึ่งการทำงานเป็นทีมช่วยได้มาก ก้าวต่อไป จึงจำเป็นต้องหาเจ้าภาพร่วมในการทำชุมชน, เทศบาล, อบต.ต้นแบบ ดูแลจิตเวชวิกฤต (SMIV) ที่สำคัญคือต้องทำให้เกิดความยั่งยืน”นางปทุมรัตน์ กล่าว

ด้านนางนวรัตน์ นาคทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ตำบลบ้านหอย บ้านเกาะมะไฟ กล่าวว่า จุดสำคัญในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดให้สำเร็จคือการปรับทัศนคติ และร่วมมือของทุกฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อรับการรักษาจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่กับครอบครัวแล้ว ต้องดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ทั้งครอบครัว ชุมชนต้องเป็นมิตร ให้ความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ ให้ความรัก ความอ่อนโยน ชื่นชมเขา ทำให้เขามีตัวตน คุณค่าในสังคม ซึ่งผู้ป่วยสามารถรับรู้ได้และยินดีให้ความร่วมมือในการดูแลรักษา ขณะนี้ที่ผู้ใหญ่ดูแลอยู่ 4 ราย เป็นสีเหลือง 3 ราย (ที่ยังต้องกินยาอยู่) และสีเขียว 1 ราย นับเป็นความสำเร็จก้าวแรก

นางสาวณัฐชุตา ประสมศรี (คุณแม่น้องชบา นามสมมุติ) อายุ 56 ปี กล่าวว่า ที่ผ่านมาครอบครัวเรา อบอุ่นดี แม่ไม่เคย ดุด่า ตีลูก ต่อมาแม่มีสามีใหม่ ขณะที่ตัวน้องเองก็เริ่มมีแฟน ทำให้ความสัมพันธ์ตนกับลูกห่างกันบ้าง เพราะลูกไปอยู่กับแฟนที่ทำงานขับรถส่งของ มีกลุ่มเพื่อนที่ดื่มเหล้าด้วยกันประจำ ใช้สารเสพติดกันเยอะ น้องก็ใช้ด้วยกัน จนกระทั่งตนสังเกตว่าน้องเริ่มมีอาการแปลกๆ คือพูดคนเดียว ฉุนเฉียว หงุดหงิดโมโหง่าย เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น หูแว่ว จนมีอาการหนักขึ้นจึงแจ้งเจ้าหน้าที่มารับตัวเข้าไปบำบัดรักษาที่โรงพยาบาล อำเภอนาดี และได้เข้าร่วมค่ายครอบครัวเพื่อมาเพื่อเรียนรู้ เข้าใจผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวแล้วนำประสบการณ์มาดูแลลูกเราทั้งร่างกาย จิตใจให้กลับมาเป็นปกติ จนถึงขณะนี้ดูแลกันมากว่า2 เดือนแล้ว อาการดีขึ้นประมาณ 50% แต่เขายังจำบางเรื่องไม่ค่อยได้ แต่การที่เขาอาการดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตนมีกำลังใจในการต่อสู้เอาลูกกลับคืนมายู่ด้วยกันอย่างมีความสุขต่อไป

นางสาวอารีย์ เหมะธุลิน ผู้จัดการเครือข่ายงดเหล้าภาคตะวันออก กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสานพลังครอบครัวฯ แคร์ใจในชุมชน ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 14 ครอบครัว ทั้งนี้จากประสบการณ์การทำงานเรื่องเหล้าในชุมชน พบว่า คนที่เคยดื่มหนักมาก่อน มีโอกาสไปใช้สารเสพติดชนิดที่รุนแรงขึ้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในสังคม ที่ไม่อาจมองผ่านได้ และเมื่อลูกหลานก้าวพลาดไป คนทั้งชุมชนก็ต้องร่วมมือกันประคับประคอง เตรียมพร้อมดูแลให้พวกเขากลับคืนสู่ครอบครัว และอยู่ในชุมชน สังคม ได้อย่างมีความสุข

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *