911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) รุ่นพิเศษ Special edition

ปอร์เช่ 911 เทอร์โบ เอส (Porsche 911 Turbo S): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 9 กิโลเมตร/ลิตร หรือ 11.1 ลิตร/100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 254 กรัม/กิโลเมตร

911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) รุ่นพิเศษ Special edition ผสานแนวทางการพัฒนาจากอากาศยานสุดหรู สัมผัสขีดสุดแห่งสมรรถนะทั้งบนท้องถนนจรดฟากฟ้าการจับมือกันระหว่างปอร์เช่ และ Embraer (เอ็มบราเออร์)

สตุ๊ทการ์ท/เมลเบิร์น. Dr. Ing. h.c. F. Porsche AG และEmbraer Group 2 พันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมสร้างปรากฎการณ์เหนือระดับ ต้อนรับช่วงเวลาแห่งความสุขปลายปี 2020 ลูกค้าผู้ตัดสินใจเป็นเจ้าของเครื่องบิน ส่วนตัวEmbraer Phenom 300E business jets รุ่น limited-edition ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 10 ลำ จะได้รับเอกสิทธิ์ในการสั่งซื้อยนตรกรรมสปอร์ต ปอร์เช่ 911 เทอร์โบ เอส (Porsche 911 Turbo S) รุ่นพิเศษที่ได้รับการตกแต่งไปในทิศทาง เดียวกับอากาศยานสุดหรูเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวดังกล่าว ซึ่งถือกำเนิดขึ้น จากการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง 2 แบรนด์พรีเมียมทีมงานผู้มีส่วนในโครงการประกอบด้วยบุคลากรจาก Embraer design studio ทั้งใน เมลเบิร์น, ฟลอริดา สมทบด้วยสมาชิกจาก Porsche design department “Style Porsche” Weissach/ประเทศเยอรมนี แผนกตกแต่งพิเศษ Porsche Exclusive Manufaktur สตุ๊ทการ์ท/ประเทศเยอรมนี และ Studio F.A. Porsche จาก Zell am See/ประเทศออสเตรีย

ทั้ง 2 บริษัทกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์สุดพิเศษแก่ลูกค้าทั่วโลกที่สามารถสะท้อน บุคลิกภาพของผู้ครอบครอง รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างไร้ข้อจำกัด “ปอร์เช่ และ Embraer เป็นองค์กร ที่มีคุณค่าหลักคล้ายคลึงกัน” ข้างต้นคือคำกล่าวของ Alexander Fabig, หัวหน้าส่วนงาน Personalization and Classic“ในแง่ของการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันนั้น เราได้อาศัยองค์ความรู้และความชำนาญของทั้ง 2 แบรนด์มาประกอบกันนำมาซึ่ง แนวทางการพัฒนาที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะมองจากมุมของกลุ่มลูกค้าเครื่องบินเจ็ท หรือเจ้าของรถสปอร์ตก็ตาม” 

อากาศยานส่วนตัวรุ่น special edition จำกัดจำนวนการผลิตเพียง 10 ลำโดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญในนวัตกรรมเทคโนโลยีและการปรับแต่งที่รองรับทุกความต้องการสะท้อนตัวตนของผู้ครอบครองในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ของทั้ง 2 บริษัท ยังคงเน้นการผสมผสานระหว่างสมรรถนะของการทำงานอันยอดเยี่ยมพร้อมอรรถประโยชน์ ในการใช้งานเพื่อทุกวันของชีวิต

งานออกแบบดีไซน์ที่ประยุกต์เอาแนวทางการพัฒนาของรถสปอร์ตและเครื่องบินเจ็ทแสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัด จากสีตัวถังภายนอกสไตล์ two-tone ประกอบด้วยสีเงิน Platinum Silver Metallic (gloss) และสีเทาJet Grey Metallic (satin gloss) ประดับรายรอบตัวถังด้วยลายเส้นโครเมียม และสีน้ำเงิน Speed Blue พ่นสีด้วยกระบวนการที่สลับซับซ้อน ตราสัญลักษณ์ได้รับการออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ โดยได้รับอิทธิพลจากรูปทรงของปีกเครื่องบิน และสปอยเลอร์หลังทรงสูง จากชุดแต่ง Sport Design package ของปอร์เช่ 911 รุ่นเรือธง สัญลักษณ์ดังกล่าวจะได้รับการติดตั้งลงในจุดต่างๆทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารของรถยนต์ปอร์เช่อาทิเช่น การประทับตราสัญลักษณ์บริเวณหมอนรองศรีษะ รวมทั้งป้ายแสดงความเป็นรุ่นพิเศษ limited-edition

จำนวนการผลิตของปอร์เช่ 911 เทอร์โบ เอส (Porsche 911 Turbo S) รุ่นพิเศษ ถูกจำกัดไว้เช่นเดียว กับจำนวนการผลิตเครื่องบิน ทั้งนี้ป้ายแสดงลำดับการผลิตที่ตรงกับเครื่องบิน ได้รับการติดตั้งไว้บริเวณด้านล่าง ของสปอยเลอร์หลังและด้านข้างของ กุญแจรถ แผ่นปิดธรณีประตูพร้อมตัวอักษร “No step” เรืองแสงสีแดง ขอบหน้าปัทม์นาฬิกาจับเวลา Sport Chrono package บนคอนโซลหน้า ตกแต่งในลักษณะเดียว กับมาตรวัดบนแผงควบคุมอากาศยาน

สีตัวถังโดดเด่นงามสง่าสไตล์ Twotoneเต็มพิกัดด้วยชุดแต่งของ 911 รุ่นสูงสุด

ปอร์เช่ 911 เทอร์โบ เอส (Porsche 911 Turbo S) เจเนอเรชันล่าสุด เหนือล้ำด้วยพละกำลัง ความสปอร์ต และความสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประจำการขุมพลังเครื่องยนต์สูบนอนบ็อกเซอร์ ขนาดความจุ 3.8ลิตร ให้กำลังสูงสุด 650 แรงม้า (478 กิโลวัตต์) ยืนยันความเป็นเลิศภายใต้แนวทางเดิม นั่นคือความสมบูรณ์แบบแห่งดุลยภาพ ของสมรรถนะการขับขี่สไตล์สปอร์ต ตอบสนองทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการประลองความเร็วบนสนามแข่ง

สำหรับตัวถังคูเป้ (Coupé) อันเป็นรุ่นที่ได้รับการเลือกให้ผลิตควบคู่กับอากาศยานของ Embraer, นับเป็นครั้งแรกที่ปอร์เช่ ตัดสินใจผสมผสานความเงางามระหว่างสี gloss และสี satin-gloss ตัวถังส่วนบนของรถสปอร์ตทรงสมรรถนะ ได้รับการพ่นสีเงิน Platinum Silver Metallic ขณะที่ตัวถังส่วนล่างเติมแต่งด้วยสีเทา JetGrey Metallic ตัดขอบด้วย เส้นสายสีโครเมียมและสีน้ำเงิน Speed Blue รายรอบบริเวณตัวถังด้านข้างตลอดจนประตูรถงานสีทุกจุดได้รับการพ่น ด้วยมืออย่างปราณีตจากช่างเทคนิคผู้ชำนาญงาน

ล้ออัลลอยลาย Exclusive design พ่นสีเงิน Platinum Silver Metallic ตัดขอบเสริมความสวยงามด้วยสีน้ำเงิน Speed Blue ทั้งหมดนี้ผลิตขึ้นจากเทคโนโลยีเลเซอร์ กรอบช่องรับอากาศด้านข้างและกรอบกระจกประตูพ่นสีโครเมียมสะท้อน ภาพลักษณ์งานออกเเบบของอากาศยานส่วนตัวสุดหรูหรา ไฟโปรเจคเตอร์LED บนประตูรถฉายแสง เป็นตราสัญลักษณ์ ประจำรุ่นลงบนพื้น พร้อมป้ายสัญลักษณ์พิเศษเฉพาะคันบนเสา B-pillar บ่งบอกถึงลำดับการผลิตด้วยเส้นแนว ตั้งจำนวน 10 เส้น

แรงบันดาลใจจากห้องโดยสารของเครื่องบินเจ็ทเอกลักษณ์แห่งงานตกแต่ง

ความพิเศษเหนือระดับ ยังคงเป็นคำนิยามของภายในห้องโดยสาร นักออกแบบบรรจงเลือกสรรค์เฉดสีในการตกแต่ง พร้อมผสมผสานระหว่างความเข้มของสีดำ และสีขาวบนตัวเบาะนั่งหนังแท้ พื้นผิวของหนังสีดำเสริมความโดดเด่น ด้วยการ เดินตะเข็บสีน้ำเงิน Speed Blue นอกจากนี้ในส่วนของพวงมาลัยหนังแท้ยังได้รับการตกแต่งในรูปแบบของ two-tone โดยมีการมาร์คตำแหน่ง 12 นาฬิกาด้วยสีน้ำเงิน Speed Blue ชุดแต่งภายในห้องโดยสาร Carbon interior package ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งมาพร้อมชิ้นงาน high-glossผ้าหลังคาหุ้มด้วยวัสดุ Alcantara สีขาว chalk-colouredโครงด้านหลังของเบาะนั่งคู่หน้าผลิตจากคาร์บอนhigh-gloss หมอนรองศรีษะทั้ง 2 ฝั่งประทับตราสัญลักษณ์ประจำรุ่น ห่วงหนังสำหรับดึงเพื่อพับพนักพิงเบาะคู่หน้ามีสีแดง ตามมาตรฐานของเบาะนั่งบนเครื่องบิน งานตกแต่งภายใน ห้องโดยสารทั้งหมดรังสรรค์และติดตั้งขึ้นด้วยงานฝีมือจากช่างฝีมือของแผนก Manufaktur ซึ่งไม่สามารถพบได้ ในรถยนต์ รุ่นอื่นจากสายการผลิตปกติ

แผ่นปิดธรณีประตูจารึกตัวอักษร “No step” เรืองแสงสีแดง เฉกเช่นเดียวกับข้อความแสดงเตือนบริเวณส่วนปีก ของอากาศยาน นาฬิกาจับเวลาอันเป็นส่วนหนึ่งของชุดแต่งเพิ่มสมรรถนะ Sport Chrono package ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากมาตรวัดในห้องควบคุมเครื่องบินเช่นกัน นอกเหนือจากตราสัญลักษณ์ประจำรุ่น ขอบหน้าปัทม์ตกแต่งสไตล์ artificial horizon คล้ายคลึงกับมาตรวัด gyroscope ของเครื่องบิน ซึ่งใช้ในการแสดงระดับความสูงบ่งบอกถึงทิศทาง การเคลื่อนที่ในแนวราบและแนวระดับ แผงคอนโซลฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าติดตั้งตัวอักษร “One of 10” หนังสีดำ ภายในห้องเก็บสัมภาระหน้ารถได้รับการบุอย่างสวยงามด้วยมือ สร้างความแตกต่างด้วยการเดินตะเข็บสีน้ำเงิน Speed Blueบริเวณด้านข้างของกุญแจรถ พ่นสีน้ำเงิน Speed Blueและกำกับหมายเลขลำดับการผลิตที่ตรงกับของเครื่องบินไว้ ตราสัญลักษณ์ประจำรุ่นประทับลงบนปลอกหุ้มรีโมทหนังแท้รวมทั้งผ้าคลุมรถแบบ indoor พร้อมข้อความเตือน “Remove before flight” 

นาฬิกาข้อมือ Globetimer และชุดกระเป๋าเดินทางคุณค่าที่คู่ควร

นอกจากลูกค้าผู้ครอบครองจะได้เป็นเจ้าของที่สุดแห่งจักรกลทั้งบนพื้นดินและท้องฟ้า ยังได้รับชุดกระเป๋าเดินทาง Porsche Design luggage set กระเป๋าคุณภาพสูงซึ่งประกอบด้วยกระเป๋าล้อลาก pilot’s case 1 ใบ และกระเป๋าเดินทาง 2 ใบ           Porsche Design พร้อมนำเสนอนาฬิกาข้อมือรุ่นพิเศษ special edition 1919 Globetimer UTC อาภรณ์แห่งกาลเวลา เปี่ยมเอกลักษณ์และนวัตกรรมที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้แนวทางการพัฒนาของทั้ง 2 บริษัท ตัวอย่างเช่น เข็มบอกเวลาที่ ได้รับแรงบันดาลใจจากสีเทาที่แตกต่างกันภายในจำลองมาตรวัด altimeter แสดงค่าแบบการไต่ระดับบน runway หน้าปัทม์เรืองแสงเพื่อแสดงผลในที่มืดด้วยการเลือกใช้วัสดุ Superluminova พื้นหน้าปัทม์สว่างด้วยสีฟ้าขณะที่ตัวเลข บอกชั่วโมงและนาทีเรืองแสงสีเขียวอ่อน 

ปลายเข็มแสดงวันที่เป็นตราสัญลักษณ์ Embraer ในรูปร่างของเครื่องบินขนาดเล็ก สายข้อมือหนังแท้สีดำ ใช้วัสดุคุณภาพ ชั้นเลิศ เช่นเดียวกับงานตกแต่งภายในห้องโดยสารของรถยนตปอร์เช่ เดินตะเข็บด้วยด้ายสีน้ำเงิน Speed Blue

ตราสัญลักษณ์ประจำรุ่น ประทับบนสายข้อมือ รวมทั้งยิงเลเซอร์ลงบนฝาหลังของตัวเรือน นาฬิกาข้อมือGlobetimer            edition รุ่นพิเศษ ได้รับเอกสิทธิ์เฉพาะเจ้าของผู้ตัดสินใจจับจองทั้งเครื่องบิน และรถสปอร์ตปอร์เช่เท่านั้น

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *