กสศ.เปิดตัวระบบ iSEE 2.0 นวัตกรรมลดความเหลื่อมล้ำการศึกษา เครื่องมือเอ็กซเรย์ข้อมูลระดับพื้นที่ในทุกมิติ ช่วยทำให้สังคมไทยมองเห็นเด็กทุกคนในประเทศผ่าน 5 เป้าหมายหลัก ขณะที่สตาร์ทอัพเมืองไทยยืนยันพลังอำนาจของข้อมูลการศึกษาจะช่วยเหลือและเปลี่ยนชีวิตเด็กได้ แนะดึงทุกภาคส่วนใช้เครื่องมือ iSEE สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/5674293A-E7A1-4DDF-B6C3-31D9B822167A.jpeg)
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดแถลงข่าวเปิดตัวระบบ “iSEE 2.0 นวัตกรรมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา” เครื่องมือสำคัญที่ทำให้การช่วยเหลือไปถึงเด็กๆได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ตรงตามสภาพปัญหาอย่างแท้จริง พร้อมจัดเวทีเสวนา “EdTech และการขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล (Data Activism) กรณีศึกษาระบบ iSEE กับการระดมความร่วมมือเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา”
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/F559BFA8-49C2-4003-9A61-8BD15223D825.jpeg)
ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า กสศ.ได้วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Information System for Equitable Education : iSEE) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (BIG Data) รายบุคคล ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสมากกว่า 4 ล้านคนโดยเชื่อมโยงข้อมูลเด็กและครอบครัวกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของ 6 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงงาน และกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงข้อมูลจากระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS)
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/8C872E3C-CD4E-4DB3-B88D-F98194C0898B.jpeg)
เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ทำนโยบาย “มองเห็น” สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจนทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ตลอดจนเป็นเครื่องมือให้กับหน่วยงาน ภาคีต่างๆ ที่มีภารกิจในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ในอนาคต ทั้งนี้ระบบ iSEE นับเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการศึกษา ที่จะช่วยยกระดับการค้นหา คัดกรองเด็กเยาวชนทั้งในและนอกระบบการศึกษาอย่างละเอียด โดยจะสำรวจตั้งแต่ระดับประเทศ ภูมิภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล โรงเรียน จนถึงรายบุคคล ทำให้ติดตามสถานการณ์การศึกษา อัตราการมาเรียน รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในอนาคต ฯลฯ เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือได้เข้าถึงตัวเด็กอย่างทันท่วงที
“จุดเด่นของระบบ iSEE คือ การแสดงข้อมูลสุขภาวะและทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชน ข้อมูลสถานะครัวเรือนและสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน ข้อมูลการเดินทางระหว่างไปโรงเรียน ข้อมูลสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของโรงเรียน และจากการประมวลผลข้อมูลพบปี 2562 มีนักเรียนในระบบการศึกษาหายไปครึ่งหนึ่งหลังจบ ม.3 ยังพบว่า 3 จังหวัด ได้แก่ ตาก กรุงเทพ แม่ฮ่องสอน มีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษามากที่สุด” รองผู้จัดการ กสศ.กล่าว
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/F1D80F73-34BE-417F-B402-63625BC6743A.jpeg)
ดร.ไกรยส กล่าวว่า กสศ.ต้องการจัดทำระบบ iSEE ให้เป็น user- centered data Visualization Tools หรือนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบที่ง่ายและสอดคล้องกับการใช้จริงของภาคีเครือข่าย ในการทำให้สังคมไทยมองเห็นเด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ผ่าน 5 เป้าหมายหลัก ได้แก่ 1) มีระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลในหลายกระทรวง 2) Virtual Live ข้อมูล ให้เป็น user center design มีการทำกราฟ/ตารางที่ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อนำไปแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อย่างง่าย 3) ปฏิรูปกระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เช่น การระดมทุน หรือ การจัดค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่สามารถมองเห็นเด็กหรือโรงเรียนได้ชัดมากที่สุด 4) ขับเคลื่อนทรัพยากรและเครือข่ายในสังคมเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 5) สนับสนุนผู้ที่ต้องการเป็นนักวิจัย start up ผู้ประกอบการทางสังคม และสื่อมวลชน ให้มีพลังในการขับเคลื่อนวาระทางสังคมมากขึ้น ด้วยข้อมูลที่ทันสมัย เพื่อช่วยกันลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ทุกที่ ทุกเวลา นอกจากนี้ระบบ iSEE ยังมีระบบการตอบกลับที่เป็นวงจร สามารถนำข้อมูลกลับมารายงานได้ว่ามีจำนวนเด็กที่ได้รับการช่วยเหลือ เด็กที่จบการศึกษา รวมถึงเด็กที่ได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้วกี่คน ทั้งนี้ กสศ. หวังว่าระบบ iSEE จะมีผู้ใช้งานเข้ามาใช้ฐานข้อมูลของเราอย่างต่อเนื่องจนเกิดความยั่งยืน เพื่อให้กรอบการทำงานระยะยาวของ กสศ. ที่มองว่า Data เป็นการทำงานเชิงยุทธศาสตร์นำไปสู่ความเสมอภาคทางการศึกษาในอนาคต
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/07ADE482-2802-46E5-A1EE-38211A653B23.jpeg)
นายเรืองโรจน์ พูนผล หรือ “กระทิง” ประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ในฐานะมือปั้น Startup มือหนึ่งของไทย กล่าวถึง ed tech และการขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล ว่า จากการที่ตัวเองทำงานด้านสตาร์ทอัพ มาหลายปี และตอนนี้มีสตาร์ทอัพที่ลงทุนอยู่ด้วย78 ราย และในฐานะผู้ปั้นสตาร์ทอัพในประเทศไทย ทำให้รู้ว่า ฐานข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการแจ้งเกิดสตาร์ทอัพอย่างมาก และระบบisee 2.0 ของกสศ.ทำให้เราทราบว่า จะต้องพัฒนาระบบ ที่สตาร์ทอัพ สามารถนำไปใช้ได้ และแก้ปัญหาได้ตรงจุด ทั้งนี้ อยากชวน สตาร์ทอัพ มาใช้ข้อมูล isee 2.o เพื่อจะได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ได้ช่วยเหลือสังคม และช่วยเหลือสตาร์ทอัพให้วิเคราะห์ได้ถูกต้อง ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพมองเห็นปัญหา แต่ไม่สามารถใส่ข้อมูลลงไปได้ พอได้ทำงานกับ กสศ. มาระยะหนึ่งทำให้ทราบว่า จะใส่ข้อมูลอะไรลงไป
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/F33CB439-B113-4850-978F-A657AC94D462.jpeg)
นายเรืองโรจน์ พูนผล หรือ กระทิง กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด –19 ส่งผลให้เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน งานวิจัยจากแมคเคนซียังชีให้เห็นว่ากระทบต่อจีดีพีสหรัฐ และมีเด็กถึง 4 ล้านคน ที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ Old normal และวันนี้ 4 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือ แต่จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Distrup) ทำให้เราไม่มีข้อมูลในการเข้าไปช่วยเหลือ
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/3CC0C600-A400-4068-A311-3D51F8DD683E.jpeg)
“สตาร์ทอัพหลายภาคส่วนถามหาข้อมูลอยู่ไหน ซึ่งการที่ กสศ.สร้างระบบ iSEE ขึ้นมาเหมือนมอบพลังอำนาจแห่งเทคโนโลยีมาให้ ในเมื่อเราจะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยพลังอำนาจของข้อมูล วันนี้ชวนทุกคน เข้ามาเปลี่ยนแปลงเรื่องการศึกษา เพราะการศึกษาเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ โดยร่วมกันเปลี่ยนแปลงเด็ก 4 ล้านกว่าคน เพื่อให้ประเทศไทยไปอยู่ข้างหน้าได้โดยเข้าไปในระบบ iSEE” นายเรืองโรจน์ กล่าว
นายเรืองโรจน์ กล่าวว่า ระบบ iSEE เป็นแพลตฟอร์มที่มีชีวิต หากผู้สนใจอยากได้ฟีเจอร์อะไรเพิ่มเติม ก็สามารถเข้ามาร่วมพัฒนากับกสศ.ได้ การันตีได้เลย ลงทุน สตาร์ทอัพ 79 บริษัท แต่กสศ. สร้างระบบนี้ได้เร็วกว่าบางบริษัทด้วยซ้ำ ดังนั้น มาช่วยกันได้ แค่คุณคลิก แชร์ ดาต้านี้นำไปบอกเล่า สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในแบบของคุณได้แล้ว
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/DE6E661A-6EDB-4618-91F9-CC2C9F80ACB9.jpeg)
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” ผู้ก่อตั้ง startdee เน็ตฟลิกซ์แห่งวงการการศึกษาไทย กล่าวว่า สตาร์ทดีต้องขอบคุณ กสศ. เพราะ หลายเรื่องต้องตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลของ กสศ. ทั้งสตาร์ทดีและกสศ. มีเป้าหมายต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัจจุบันเด็กไทยเจอความเหลื่อมล้ำสองตลบ ตลบที่หนึ่งเป็นคุณภาพการเรียนการสอนในแต่ละโรงเรียน ไม่เท่ากันระหว่างหัวเมืองกับชนบท และตลบที่สองคือ ช่องทางการเรียนนอกห้องเรียน ก็ถูกปิดกั้นด้วยวัฒนธรรมการเรียนพิเศษที่ราคาค่อนข้างสูง สิ่งที่เล็งเห็นคือสัดส่วนเด็กไทยที่เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพจึงไม่สูงมาก
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/A81ABED0-D34C-4671-B0B3-6192A22CE202.jpeg)
นายพริษฐ์ กล่าวว่า การใช้งานในส่วนของระบบ iSEE ส่วนแรกมาจากความสงสัยส่วนตัวต้องการตรวจสอบตัวเอง อยากรู้ว่าเด็กที่เข้าถึงแอปพลิเคชั่นของสตาร์ดี เป็นเด็กยากจนมากน้อยแค่ไหน เราจึงเอาข้อมูลโรงเรียนของนักเรียนที่มาใช้แอปพลิเคชั่นไปจับคู่กับข้อมูลใน iSEE ดูว่าโรงเรียนนี้มีสัดส่วนเด็กยากจนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งพบว่ามีโรงเรียนที่มีสัดส่วนเด็กยากจน 80-100% ซึ่งเมื่อรู้กลุ่มเป้าหมายของเราแล้วก็ทำให้เราสามารถออกแบบการเรียนรู้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายเพราะเรารู้ว่าเรากำลังช่วยเหลือใครอยู่ ทำให้สามารถต่อยอดได้เพราะมีเอกชนหลายแห่งพร้อมสนับสนุน เรื่องการศึกษา เรานำข้อมูล กสศ.มาเทียบว่าเด็กคนไหนมีกำลังจ่าย มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีฐานะดีอยู่แล้ว ทุนการศึกษาจะให้คนอื่น ซึ่งเรานำทุกโรงเรียนที่อยู่ในระบบเรามากางและเทียบสัดส่วนเด็กยากจนจากมากไปน้อย
“โดยเราเห็นว่าจังหวะก้าวการทำงานของ กสศ. เร็วกว่าการทำงานของภาครัฐที่เราคุ้นเคย การช่วยลดความเสมอภาคไม่จำเป็นต้องให้สิ่งเดียวกับทุกคน แต่สามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดกับทุกคน ซึ่งเครื่องมืออย่างiSEE ช่วยสตาร์ทอัพอย่างสตาร์ทดีให้ไปสู่เป้าหมายจุดนั้นได้” นายพริษฐ์ กล่าว
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/E1F31662-B322-4E32-A7F1-6B49DD25F703.jpeg)
ด้าน ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว 3 มิติ กล่าวว่า จากประสบการณ์ทำงานข่าวที่ผ่านมาได้เจอปัญหาของเด็ก และโรงเรียนที่ยากจน จึงนำเสนอเรื่องราวต่างๆให้คนทั่วไปได้รับรู้ แต่พอมีคนมาถามว่า จะไปบริจาคให้เด็กยากจนที่ไหนได้บ้าง เราก็บอกได้ไม่หมด บอกได้แค่ที่ไปเจอ แต่พอมีฐานข้อมูล iSEE 2.0 ทำให้เราทราบว่า จริงๆแล้ว มีเด็กยากจน และต้องการความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก และคนเหล่านั้น ต้องการให้ภาครัฐ หรือหน่วยงานต่างๆ เข้าไปให้การช่วยเหลือ
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/549C92B5-10A3-408C-9742-839515EC524D.jpeg)
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/03A2113B-E424-4AEC-B70F-F2A5C06DF3B7.jpeg)
![](https://thailandinsidenew.com/wp-content/uploads/2020/07/4DD744ED-160F-4C6D-8F8C-D5A7982F3359.jpeg)