พรรคประชาธิปัตย์ — (18 มีนาคม 2563) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่าหลังจากทีมเศรษฐกิจทันสมัยพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเสนอมาตรการระยะสั้น ฉีดยาแรง กู้เศรษฐกิจไทยรอดพ้นจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 ควบคู่กับมาตรการทางด้านการเงินการคลัง ช่วยเรื่องค่าครองชีพประชาชน
ทีมเศรษฐกิจทันสมัย นำโดยนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ เสนอมาตรการ โดยย้ำว่าวิกฤตในครั้งนี้เป็นวิกฤตด้านสาธารณสุข ไม่ใช่วิกฤตทางด้านการเงิน หรือด้านเศรษฐกิจ หากไม่ใช้ยาแรงที่จะหยุดยั้งก็อาจจะกลายเป็นวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจในอนาคตได้ ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมากังวลด้านการเติบโต หรือหดตัวของ GDP ของประเทศ แต่เป็นเวลาที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้อาวุธที่มีศักยภาพ และทรัพยากรที่มีอย่างเต็มกำลังความสามารถ โฟกัสให้ถูกจุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทยที่จะเข้าสู่สถานการณ์การระบาดในระดับ 3
มาตรการด้านสาธารณสุข รัฐบาลควรจำกัดการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศ หรือการปิดประเทศ เนื่องจากหลายๆ หน่วยงาน รวมทั้งประชาชนเองก็เรียกร้องอยากให้มีการปิดประเทศ เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่มีนโยบายปิดประเทศ ในส่วนของไทยจึงจำเป็นต้องใช้นโยบายปิดประเทศ เพื่อระงับยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างมีระบบ อาจสร้างความสูญเสียระยะสั้น แต่ถือว่าเจ็บแต่จบ และสามารถก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างดีที่สุด และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือคนไทยต้องได้รับตรวจไวรัสโควิด-19 ฟรีทุกคน โดยเฉพาะทัพหน้าหรือผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น หมอ พยาบาล หรือบุคลากรด้านสาธารณสุข ควรมีประกันสุขภาพที่ดีเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ซึ่งงบกลางกว่า 7 หมื่นล้านบาทของไทยมีเพียงพอให้กับทัพหน้าทั้งหลายให้เขาได้ทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถในยามวิกฤตครั้งนี้
มาตรการด้านเศรษฐกิจและการเงิน เพื่อให้ไม่เกิดการสะดุดหรือหยุดชะงักไปมากกว่านี้ เจ็บและจบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่นโยบายด้านการเงิน และนโยบายด้านการคลัง ต้องเดินไปพร้อมกัน ซึ่งแบงค์ชาติได้มีการลดดอกเบี้ยให้อยู่ระดับต่ำสุดที่ประเทศไทยเคยทำคือ 1% และยังสามารถลดได้อีก 0.5 % และสิ่งที่แบงค์ชาติทำได้ คืออยากเสนอให้แบงค์ชาติเจรจากับขอความร่วมมือกับแบงค์พาณิชย์ให้ลดดอกเบี้ย หรือพักชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกให้กับ SMEs ต่าง ๆ อย่างน้อย 3 เดือนเป็นอย่างต่ำ และเชื่อว่าแบงค์พาณิชย์ต่าง ๆ ก็พร้อมให้ความร่วมมือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจต่าง ๆ ช่วยลดดอกเบี้ยเพื่อสร้างสภาพคล่องด้านการเงิน ให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้
มาตรการด้านค่าครองชีพ ที่ประชาชนคนไทยทุกคนต้องรับมือ กระทรวงการคลังต้องฉีดวัคซีนแรง โดยการลดภาษีให้นิติบุคคลลงอีก 5-10% ซึ่งเป็นการลดเพียงเฉพาะปีนี้เท่านั้น ทางด้านพลังงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ภาคประชาชน รัฐต้องลดหรือยกเว้นการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราว เพื่อช่วยลดภาษีและราคาน้ำมัน เพราะถึงแม้ราคาเนื้อน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง แต่ภาษีน้ำมันยังมีอัตราเท่าเดิม ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกไม่ได้ลดตามลงไปด้วยตามสัดส่วน และสำคัญอยากให้ลด Vat 7% ลดลงอีก 1% เพราะเชื่อว่าประชาชนทุกคนกำลังมีภาระด้านการจ้างงาน ซึ่งส่วนนี้จะเป็นไปช่วยประชาชนได้อย่างมากเลยทีเดียว
และอยากนำเสนอกลไกที่จะสร้างทักษะสมรรถนะ เรียนรู้ออนไลน์ทักษะต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมหลังจากผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นฟูกลับมาได้โดยเร็ว โดยการเตรียมความพร้อมสร้างแรงงานคุณภาพให้มีมีทักษะต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อลุยสร้างเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตได้อย่างดีและมั่นคง ซึ่งสามารถทำได้ในสถานการณ์ที่หลาย ๆ คนอาจจะว่างงานให้เขาได้เรียนรู้เพิ่มเติม ถือเป็นการลงทุนของรัฐบาลในระยะสั้น แต่สร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจในระยะยาวได้
“ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันที่อยากนำเสนอให้รัฐอัดยาแรงเพื่อนำพาคนไทยทุกคนผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้เช่นด้วยกัน แบบเจ็บแต่จบ อาจใช้เวลา 3-5 สัปดาห์ ทุกๆ อย่างก็น่าจะผ่านไปได้แน่นอน” นายปริญญ์ กล่าวปิดท้าย
ด้านนางดรุณวรรณ ได้ตอกย้ำว่า ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันการเป็น Think Tank ที่สำคัญของประเทศชาติ ในการที่จะออกมาช่วยให้มุมมองและความเห็นกับสังคมไทย ในยามที่มีปัญหา เพราะเป้าหมายที่สำคัญในการทำงานคือคำนึงถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และขอส่งกำลังใจให้รัฐบาล และทุกภาคส่วนฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว เพื่อให้ประเทศไทยชนะอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือกันของคนทุกคนในประเทศ