วันสตรีสากล เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงฯ ชี้ความรุนแรงในครอบครัวพุ่ง เรียกร้องรัฐบาลยกเครื่องกฎหมาย เลิกยอมความ เอาผิดผู้กระทำจริงจัง และตั้งกองทุนช่วยผู้ประสบปัญหา

7 มีนาคม 2568 ในโอกาสวันสตรีสากลปีนี้ ตัวแทน เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศ จำนวน 9 องค์กร ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปกฎหมายและมาตรการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวของไทย ให้เป็นไปตามหลักสากลและมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรงได้จริง

ดร. วราภรณ์ แช่มสนิท เลขาธิการสมาคมเพศวิถีศึกษา และตัวแทนเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศฯ ชี้ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวนับวันจะทวีความร้ายแรงมากขึ้น ขณะที่มาตรการทางกฎหมายของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะช่วยคุ้มครองและเยียวยาผู้เสียหายได้จริง ทั้งในส่วนเนื้อหากฎหมายและการบังคับใช้

“ทุกวันนี้มีผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวที่ต้องเข้ารับบริการจากโรงพยาบาลทั่วประเทศเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 15,000 ราย ขณะที่การรวบรวมสถิติของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรสมาชิกของเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงฯ พบว่าในปี 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูล มีข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่ปรากฏในหน้าสื่อต่าง ๆ สูงถึง 1,086 กรณี โดยในจำนวนนี้ 3 ใน 4 หรือร้อยละ 75 เป็นกรณีการทำร้ายและการฆ่ากันในคู่สามีภรรยา ขณะที่ข่าวการใช้ความรุนแรงในคนที่เป็นคู่รักหรือแฟนก็มีให้เห็นเพิ่มมากขึ้น และการฆ่ากันในคู่สามีภรรยาจำนวนเกือบครึ่ง (ร้อยละ 49) เป็นการกระทำโดยใช้อาวุธปืน

“จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวทุกวันนี้มีความร้ายแรงทั้งในแง่จำนวนและรูปแบบการทำร้าย แต่กฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวของประเทศไทยยังมีช่องว่างที่ไม่เอื้อต่อการคุ้มครองผู้ถูกกระทำในหลายส่วน ทั้งการกำหนดอัตราโทษฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัวให้ต่ำกว่าและไม่สอดคล้องกับความผิดลักษณะเดียวกันในประมวลกฎหมายอาญา การเน้นไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายยอมความโดยไม่มีหลักประกันเรื่องความสมัครใจ ความเป็นธรรม และความปลอดภัยของผู้เสียหาย การเปิดช่องให้ผู้กระทำความผิดมีโอกาสหลุดรอดไม่ต้องรับโทษทางอาญา และการที่กฎหมายไม่ได้ระบุขอบเขตหน้าที่และกลไกการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ให้ชัดเจน ไม่มีกลไกกำกับดูแลประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย และขาดการจัดสรรทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัว

“ถึงแม้ว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะได้จัดทำร่างแก้ไข พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว โดยขยายความคุ้มครองแก่ผู้เสียหายเพิ่มขึ้นบางส่วน และกำลังรอเสนอร่างดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้ แต่ทางเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงฯ เห็นว่าร่างของ พม. ยังมีจุดที่น่ากังวลและต้องได้รับปรับปรุงอีกหลายส่วน ทั้งในแง่หลักการและมาตรการเชิงปฏิบัติ พวกเราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล โดยกระทรวง พม. ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่ออุดช่องว่างต่าง ๆ ที่กล่าวมา และทำให้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวได้อย่างแท้จริง” ดร. วราภรณ์ กล่าว

นางสาวบุษยาภา ศรีสมพงษ์ ทนายความด้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและผู้ก่อตั้งองค์กรชีโร่ (SHero Thailand) กล่าวว่า แม้ว่าร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวที่กระทรวง พม. แก้ไขใหม่ จะมีการตัดถ้อยคำที่เน้นการไกล่เกลี่ยให้คู่กรณียอมความเพื่อรักษาสถาบันครอบครัวออกไป แต่ยังคงเปิดช่องให้มีการยอมความได้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการทางอาญาเหมือนเดิม โดยมีการไกล่เกลี่ยแฝงอยู่ในกระบวนการยอมความ โดยไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนว่าการไกล่เกลี่ยนั้นต้องเกิดจากความประสงค์ของผู้เสียหาย โดยปราศจากการถูกกดดันหรือข่มขู่บังคับจากตัวผู้กระทำความรุนแรงหรือบุคคลรอบข้าง และกฎหมายยังขาดหลักประกันว่าเมื่อไกล่เกลี่ยและยอมความแล้ว ผู้เสียหายจะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ถูกกระทำความรุนแรงซ้ำ

“ร่างแก้ไขของกระทรวง พม. ยังเปิดช่องให้ผู้กระทำผิดฐานทำร้ายคนในครอบครัวได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องรับโทษอยู่หลายช่องทาง ทั้งการให้ยอมความได้ในความผิดที่กฎหมายอาญาทั่วไปไม่ให้ยอมความ การให้อำนาจศาลสั่งให้ใช้วิธีการอื่น เช่น การให้ผู้กระทำผิดไปทำงานสาธารณะ แทนการลงโทษ รวมทั้งมาตรการจัดทำแผนแก้ไขและป้องกันการใช้ความรุนแรงในครอบครัวที่ระบุไว้ในร่างของ พม. ก็ไม่ได้ระบุชัดว่าในท้ายที่สุดแล้ว ถ้าผู้กระทำผิดไม่ปฏิบัติตามแผนหรือคำสั่งศาล จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งถ้าเราปล่อยให้กฎหมายที่มีช่องว่างเหล่านี้ผ่านออกมาบังคับใช้ ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ ผู้บังคับใช้กฎหมายเองอาจไม่สนใจที่จะดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวอย่างจริงจัง ผู้กระทำผิดก็ลอยนวล ย่ามใจและมีโอกาสไปกระทำความรุนแรงซ้ำ ขณะที่ผู้เสียหายก็อาจถูกผลักกลับเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงหลังจากยอมความไปแล้ว

“อีกเรื่องที่สำคัญ คือ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกด้วยความรุนแรงในครอบครัว ทั้งฉบับปัจจุบันและร่างที่แก้ไขใหม่โดยกระทรวง พม. ไม่ได้บรรจุเรื่องการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินเพื่อการคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไว้ ทั้งส่วนที่ต้องใช้เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการคุ้มครองและเยียวยาผู้เสียหาย กับส่วนที่ต้องใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรง ซึ่งจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเงินและรายได้ ทำให้ออกจากความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงได้ยาก และเมื่อก้าวออกจากชีวิตคู่ที่มีการใช้ความรุนแรงแล้ว ส่วนใหญ่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายสำหรับที่พักพิงชั่วคราวหรือการหาที่อยู่ใหม่ ค่าเลี้ยงดูบุตร หรือกระทั่งค่าติดต่อสื่อสารและค่าเดินทางเพื่อเข้ารับบริการจากหน่วยงานต่าง ๆ ทางเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงฯ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลบรรจุเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงไว้ในกฎหมายที่จะแก้ไขใหม่ด้วย” นางสาวบุษยาภา กล่าว

You May Also Like

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *