แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และในทุกความเปลี่ยนแปลงนี้ก็มักจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้มนุษย์ในทุกๆ ด้าน ซึ่ง Rado เองก็มองเห็นความสำคัญนี้ของธรรมชาติ จึงร่วมมือกับ Great Gardens of the World องค์กรระดับโลกด้านสวนและสิ่งแวดล้อม ช่วยกันหลอมรวมงานดีไซน์สวนอันสวยงามและโดดเด่นเข้ากับความเชี่ยวชาญงานผลิตนาฬิกาของ Rado เราจึงจะได้เห็นการนำรายละเอียดจากธรรมชาติมาผสานเข้ากับงานออกแบบนาฬิกาอย่างลงตัว
การคอลลาบอเรชั่นครั้งนี้ ได้รับแรงบันดาลใจหลักๆ มาจากลวดลายอันงดงามของพืชพรรณสามชนิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกัน ได้แก่ ต้น Hawaiian Loulu Lelo, ต้น Chilean Araucaria และต้น Yemeni Dragon Blood ทั้งหมดล้วนเป็นพรรณไม้ใกล้สูญพันธุ์ แต่ยังคงมีเสน่ห์ และมีรูปทรงสวยงามดึงดูดทุกสายตาได้เสมอ โดยทีมงานได้ดึงองค์ประกอบเด่นๆ ของต้นไม้แต่ละชนิดมาไว้บนหน้าปัด ซึ่งแน่นอนว่าทุกลวดลายที่คัดสรรมานั้นเข้ากับตัวเรือนไฮเทคเซรามิกที่หล่อขึ้นชิ้นเดียว (Monobloc) แบบ True Thinline ทั้งสีดำ ขาว และสีเทาพลาสม่า
นาฬิกาเรือนแรกในซีรีส์ใหม่นี้คือ “Chapter 8” ถ่ายทอดความงามของต้น Hawaiian Loulu Lelo ตัวเรือนสีดำขัดเงากลมกลืนกับหน้าปัดสีเข้ม ลวดลายบนหน้าปัดนี้ถอดแบบมาจากการจับจีบของใบ Loulu Lelo เพิ่มความเรียบหรูด้วยเข็มนาฬิกาสีทอง และโลโก้ Rado พิมพ์สีทองเช่นกัน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้คริสตัลแซฟไฟร์ที่เคลือบป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน ส่วนกลไกการเดินเป็น Rado R766 เช่นเดียวกับอีกสองรุ่น โดยสำรองพลังงานได้สูงสุด 72 ชั่วโมง มีแฮร์สปริง Nivachron™ ช่วยป้องกันสนามแม่เหล็ก เพื่อให้ทุกการบอกเวลามีความแม่นยำสูงสุด
บันทึกบทถัดไปคือนาฬิกา “Chapter 9” ภาพสะท้อนอันยอดเยี่ยมของต้นสน Chilean Araucaria ที่ให้อารมณ์โปร่ง สบาย เงียบสงบ และไม่เหมือนใคร โดย Chapter 9 ใช้ตัวเรือนไฮเทคเซรามิกสีขาว ลงตัวกับหน้าปัดหอยมุกสีเดียวกัน ส่วนลวดลายนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากโครงร่างใบไม้อันสดชื่นและดูขี้เล่นของต้นไม้หายากในชิลี ซึ่งเอกลักษณ์อยู่ที่ปลายแหลมของใบไม้ที่เรียงซ้อนกันอย่างงดงามในแบบที่คนรักนาฬิกาจะต้องหลงใหล เมื่อพลิกมาด้านหลังจะพบฝาหลังไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์พิมพ์ข้อความ Great Gardens of the World กับหมายเลขรุ่น ความพิเศษอีกอย่างคือมีการนำวงปีของต้นไม้ (ลวดลายลำต้นแบบตัดขวาง) ซึ่งแสดงถึงการเจริญเติบโตของพืชพรรณมาพิมพ์ลงด้านหลังตัวเรือนนี้ด้วย โดยเป็นลวดลายเดียวกับที่อยู่บนกล่องนาฬิกาแบบจัดชุดสามเรือนสำหรับนักสะสม และในกล่องยังมีการ์ดพิเศษประจำคอลเล็กชั่นนี้อีกต่างหาก
สุดท้ายคือ “Chapter 10” ตัวแทนของต้น Yemeni Dragon Blood ที่กิ่งก้านอันซับซ้อนและดูยุ่งเหยิงของต้นไม้นี้กลับกลายเป็นเสน่ห์และความงามอันน่าหลงใหลดั่งมีมนตร์สะกด ซึ่งแบรนด์ได้ถ่ายทอดลวดลายแสนพิเศษนี้ไว้บนหน้าปัดแบบสองชั้น คือหน้าปัดสีเทา แต่แผ่นรองเป็นสีโรสโกลด์สีเดียวกับเข็มนาฬิกา ตัวเรือนใช้พลาสม่าไฮเทคเซรามิกสีเทา ที่ในกระบวนการผลิตต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 20,000 องศาเซลเซียส (สูงกว่าอุณหภูมิบนพื้นผิวดวงอาทิตย์หลายเท่าตัว) หลังจากนั้นจึงลดความร้อนลงมาเหลือ 1,000 องศาเซลเซียส ส่วนสายนาฬิกานั้นจะเหมือนกันทั้งสามรุ่น คือเป็นสายไฮเทคเซรามิกขัดเงา ตัวล็อกไทเทเนียมแบบพับสามทบ มาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำได้สูงสุด 3 บาร์ หรือ 30 เมตร กลไกการเดินแบบออโตเมติกก็ผ่านการทดสอบถึงห้าตำแหน่ง (ระดับมาตรฐานคือสามตำแหน่ง) เพราะฉะนั้นนอกจากคอลเล็กชั่นนี้จะดูเป็นธรรมชาติที่สุดและงดงามที่สุดแล้ว ยังแม่นยำที่สุดด้วย
สำหรับ Rado Great Gardens of the World รุ่น Chapter 8, 9 และ 10 นี้มีวางจำหน่ายทั้งแบบเรือนเดียว และแบบสามเรือนในกล่องพิเศษที่มีเพียง 99 ชุดเท่านั้น