เปิดเวทีฝากฝังพรรคการเมือง เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง หยุดนโยบายอบายมุขมอมเมา ยกงานวิจัยชี้ชัดเกิน 56.1% ยังไม่เห็นด้วยปลดกัญชาเสรี 61.7% ไม่เห็นด้วยกับโฆษณาน้ำเมาเสรี 69.5% ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอขายเหล้า/เบียร์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ประเด็นพนัน พบ 70.1 ค้านกาสิโนถูกกฎหมาย ขณะที่ศูนย์ศึกษาปัญหาพนัน เก็บข้อมูล 1 ปี เยาวชนเล่นพนันกว่า 3.9 ล้านคน ทำเครียด สุขภาพทรุดโทรม กว่า 8 หมื่นคนติดหนี้หัวโต “สภาเด็กฯ” ระบุปัจจัยเสี่ยงป้องกันได้ ขอนโยบายรัฐ – นักการเมืองเป็นมิตรปกป้องเด็กเยาวชน
เครือข่ายนักวิชาการ องค์กรด้านเด็ก เยาวชน ครอบครัว แรงงานและกลุ่มเปราะบาง 12 องค์กร อาทิ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย และสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดเวทีเสวนา “เสียงประชาชน กับอบายมุขถูกกฎหมาย : มองนโยบายเลือกตั้ง 66” พร้อมทั้งเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ต่อ “เหล้า – กัญชาเสรี , บุหรี่ไฟฟ้า – กาสิโน – พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย”
ศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า จากผลการสำรวจความเห็นประชาชนต่อนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ เช่น กัญชาเสรี สุราเสรี ปลดล็อกบุหรี่ไฟฟ้า บ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย หรือเปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย พบว่า ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเหล่านี้ โดยเฉพาะกัญชาเสรีนั้น ประชาชน 56.1 % ไม่เห็นด้วยในการปลดออกจากยาเสพติด และ 53.9% ไม่เห็นด้วยที่อนุญาตให้ประชาชนปลูกและนำมาใช้ในครัวเรือน ส่วนเรื่องแอลกอฮอล์นั้น 55.5 % ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอยกเลิกมาตรการควบคุมเวลาห้ามขาย 69.5% ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ยกเลิกการห้ามขายเหล้า/เบียร์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา 78.1% ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอยกเลิกการห้ามขายห้ามดื่มในสถานศึกษา และ 61.7% ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้โฆษณาได้อย่างเสรี ในส่วนของการพนันพบว่า 70.7 % ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้มีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย และ 73.3% ไม่เห็นด้วยให้การพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย
ดังนั้น ศวส. จึงมีข้อเสนอในประเด็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนี้ 1. มีมาตรการควบคุมการวัน เวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำกัดสถานที่จำหน่าย สถานที่บริโภค และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด 2. การกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขการควบคุมการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ควรจะแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงการขอใบอนุญาตการผลิต ช่วงการผลิต และช่วงการชำระค่าธรรมเนียมการผลิตและการต่ออายุ โดยการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องขอใบอนุญาตทุกกรณี และการกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตควรแบ่งตามประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และตามจำนวนแรงงานในการผลิต
ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นต่อนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาวะของประชาชนและสังคม พ.ศ. 2566 พบว่า มีประชาชนเพียง 2.1% ที่จะเลือกพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายดังกล่าวอย่างแน่นอน และ 5% ที่เห็นว่านโยบายดังกล่าวมีผลให้น่าเลือกมากขึ้น ในขณะที่ 24.3% เห็นว่าจะไม่เลือกพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายดังกล่าวอย่างแน่นอน และอีก 16.1% เห็นว่า นโยบายดังกล่าวมีผลให้น่าเลือกน้อยลง โดยระบุความคิดเห็นต่อนโยบายปลดล็อคบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายว่าจะส่งผลเสียมากกว่าสร้างประโยชน์ถึง 47% และมีประชาชนเพียง 6.5% เท่านั้นที่เห็นว่านโยบายดังกล่าวสร้างประโยชน์มากกว่าผลเสีย ดังนั้น ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ จึงขอสนับสนุนการคงกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อการพัฒนาสมองของเยาวชน และจะทำให้เป็นผู้เสพติดนิโคตินไปตลอดชีวิต
ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์เรื่องพิษภัยสูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ดังนี้ 1. การบรรจุเข้าเป็นหลักสูตรการเรียนสำหรับนักเรียนประถม มัธยม รวมทั้งอุดมศึกษา ด้วยการใช้ช่องทางออนไลน์ปลูกฝังให้เกิดค่านิยมไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเยาวชนหญิงที่เป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ขายบุหรี่ไฟฟ้า 2. เร่งสร้างความเข้มแข็งให้กับกระบวนการควบคุมการเสพบุหรี่ไฟฟ้าในทุกระดับ โดยกำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมายปราบปรามการโฆษณา การลักลอบนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย 3. การเฝ้าระวังกลยุทธ์การตลาดและกลยุทธ์การแทรกแซงนโยบายการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของกลุ่มผู้ขายและกลุ่มผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าผ่านตัวแทนที่เข้ามาให้ข้อมูล ให้การสนับสนุน และเสนอให้มีการยกเลิกกฎหมายที่ใช้ในการควบคุม ทั้งนี้ เพราะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าทำลายสุขภาพ รวมถึงผู้ผลิตและผู้ขายพยายามล่อลวงเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เข้าไปเสพติดนิโคตีนในบุหรี่ไฟฟ้า จะได้เป็นลูกค้าไปตลอดชีวิต
ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน กล่าวว่า ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนันได้ศึกษาพฤติกรรมการเล่นพนันออนไลน์ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 15-25 ปี จาก 19 จังหวัด รวม 5,010 คน สำรวจระหว่างวันที่ 20 มกราคม- 24 กุมภาพันธ์ 2566 พบว่า 42.1% หรือประมาณ 3.9 ล้านคน มีการเล่นการพนัน ในจำนวนนี้มีคนเล่นพนันออนไลน์ประมาณ 3 ล้านคน โดยมากกว่า 10 % เป็นการเล่น สลอตแมชชีน/ตู้พนัน หวยใต้ดิน และสลากกินแบ่งรัฐบาล ในด้านผลกระทบ พบว่า ประมาณ 1 ใน 3 หรือ 33.5% มีปัญหาขาดเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีปัญหาความเครียด/เสียสุขภาพจิต เสียเวลาทำงาน เสียการเรียน สุขภาพเสื่อมโทรม ที่น่าสนใจคือกว่า 8 หมื่นกว่าคน หรือ 2.7% ติดหนี้พนัน
ด้าน นายอัรฟาน ดอเลาะ รองเลขาธิการสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหา เหล้า กัญชาเสรี บุหรี่ไฟฟ้า กาสิโน พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย เป็นอบายมุขที่กระทบกับสุขภาพกาย และจิตใจของเด็ก เยาวชน และส่งผลกระทบต่อสังคมตามมา มีเด็ก เยาวชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ เสียการเรียน หลุดจากระบบการศึกษา ต้องเผชิญความรุนแรงหรือถูกกระทำด้วยความรุนแรง ลักเล็กขโมยน้อย รวมไปถึงเพิ่มโอกาสในการก่ออาชญากรรมทำผิดกฎหมายในหลายรูปแบบ ประเทศชาติเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจ ที่จริงเรื่องนี้สามารถป้องกัน จัดการได้ แต่รัฐหรือพรรคการเมืองจะต้องมีกลไกที่ดีมารองรับ เริ่มตั้งแต่นโยบายที่คำนึงถึงเด็ก เยาวชน มีกฎหมายคุ้มครองเด็ก เยาวชนโดยเฉพาะ มีการจัดนโยบายหลักประกันด้านสุขภาพเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจและตระหนักรู้ถึงพิษภัยของสิ่งอบายมุขทั้งหลาย สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก เยาวชน ห่างไกลสิ่งอบายมุข และมีกลไกลรองรับไม่ให้เกิดการการมั่วสุม หรือใช้เสพติด เป็นต้น
ขณะที่ นางสาวนัยนา ยลจอหอ ประธานชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม กล่าวว่า เนื่องจากตนเป็นประธานชุมชน ทำงานใกล้ชิดและเห็นปัญหาหลายด้านที่เกิดขึ้นในชุมชนขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคนเมาทะเลาะวิวาท เกิดปัญหาครอบครัว หากให้ขายเสรีปัญหาจะยิ่งมาก และทำให้การรณรงค์งดดื่มแอลกอฮอล์ในวัดทำได้ยากขึ้น ยิ่งเรื่องกัญชาเสรีที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ เพราะหาซื้อง่าย ชาวบ้านนำมาใช้ เสี่ยงเกิดอันตรายต่อชุมชน โดยเฉพาะเด็กก็อยากรู้อยากลอง ซึ่งรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าด้วยที่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ การเรียน นอกจากนี้ยังมีปัญหาพนันออนไลน์ ที่ชาวบ้านหวังรวยทางลัดในช่วงที่แต่กลับต้องสูญเสียเงินทองจำนวนมาก ไม่สามารถเลิกได้ หากอนุญาตให้เล่นได้อย่างถูกกฎหมายจึงน่ากังวลว่า จะมีคนติดการพนันเพิ่มขึ้น เกิดเป็นปัญหาครอบครัว เงินไม่พอใช้ ทะเลาะวิวาท ตนจึงขอฝากถึงพรรคการเมืองและรัฐบาลว่า นโยบายต่าง ๆ ที่ทำ หรือกำลังจะเสนอให้อบายมุขเหล่านี้ถูกกฎหมาย ล้วนสร้างผลกระทบมากกว่าเกิดประโยชน์ ขอให้ยึดเอาประชาชนเป็นที่ตั้งจริง ๆ อย่ามองแต่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไม่ควรเอาอบายมุขมามอมเมาประชาชน เพราะเราคือคนปลายน้ำที่รับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้กล่าวได้เลยว่าชาวบ้านเราแทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว